Zomnida's Blog

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 16 กรกฎาคม 2553 23:26 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
เวลาว่างชอบเล่นกับกระต่าย
เพชรกับชาคริต อดีตคู่รักหวาน
พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่กำลังจะเปิดตัวต้นปีหน้า
ไม่อยากเป็นข่าว ไม่อยากร้าวรัก แต่เธอ “เพชร-บุญญาภาณิ์ เบญจรงคกุล” กลายเป็นสาวฮอตที่สื่อบันเทิงอยากสัมภาษณ์มากที่สุด เพราะความรักของเธอกับพระเอกดังฉายาไม้เลื้อย ชาคริต แย้มนาม เป็นบันทึกรักที่หลายคนสนใจ “ทำไมถึงเลิก เลิกทำไม” เธอยอมเปิดใจให้กับ M-Lite ที่นี่ที่เดียว และตัวตนของความเป็นสาวสังคม ที่เธอยอมรับว่า เพชรเม็ดนี้เป็นลูกไม้ใต้ต้นของ บุญชัย เบญจรงคกุล เกือบทุกกระเบียดนิ้ว

M-Lite พยายามติดต่อนัดสัมภาษณ์กับ เพชร-บุญญาภาณิ์ เบญจรงคกุล อยู่หลายครั้ง กระทั่งเธอใจอ่อนยอมรับนัดกับสื่อผู้จัดการสุดสัปดาห์เป็นสื่อแรก เธอยอมรับว่าลังเลอยู่นานและหนีกองทัพนักข่าวมาตลอด แต่ถึงเวลาที่เธอบอกว่าต้องยอมเปิดใจกับข้อซักถามทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องความรักของเธอกับพระเอกดัง ชาคริต แย้มนาม ที่เพิ่งกลายเป็นอดีตรักวันวานไปไม่นานนี้

สาวเพชรนัด M -Lite ที่บ้านหลังใหญ่ สไตล์อาร์ตแกลเลอรีสุดหรูย่านวิภาวดี ครั้งแรกที่ได้พบ เธอดูเป็นสาวทันสมัยในชุดเรียบหรูที่เข้ากับบุคลิกความเป็นสาวเรียบง่ายของเธออย่างดี เมื่อได้คุยกับเธอก็ทำให้รู้ว่าเธอเป็นสาวที่มีบุคลิกนิ่งๆ และมีความคิดอ่านในการใช้ชีวิตที่น่าสนใจคนหนึ่ง

ร้าวรัก!

ใครๆ ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ความรักของเพชรกับชาคริต แย้มนาม จบลงเพราะอะไร ระยะเวลา 1ปี 4 เดือนที่ทั้งสองได้รู้จักกันจากการแนะนำของเพื่อน และได้พูดคุยศึกษานิสัยกัน จนกลายเป็นคู่รักหวานแหวว และน่าจับตามองที่สุดคู่หนึ่งก็ว่าได้ จนใครๆ ก็นึกฝันไปว่าทั้งคู่จะเข้าสู่ประตูวิวาห์ในไม่ช้า

แต่แล้ว รักของทั้งคู่ก็จบลงอย่างง่ายดาย เมื่อฝ่ายหญิงประกาศเลิกรากันอย่างชัดเจน โดยเพชรอ้ำอึ้งบอกแค่ว่าเป็นเรื่องส่วนตัวที่ศึกษากันไปมาแล้วไปด้วยกันไม่ได้ และฝ่ายชายยอมรับว่าสาเหตุอาจจะเพราะทำงานเยอะจนไม่มีเวลาให้กัน และยืนยันว่าไม่มีเรื่องของมือที่ 3 อย่างแน่นอน

ใช่,บางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่จะรักใครสักคน แต่ถ้ารักแล้ว ศึกษากันแล้วถึงวันที่ต้องตัดสินใจก้าวเดินต่อไป ถ้าไปด้วยกันในฐานะคนรักไม่ได้ สาวเพชรบอกว่า ควรจะโบกมือบ๊ายบายกันมากกว่า

เด็ดขาดในเรื่องความรัก

เพชร ย้ำหนักแน่นว่าเธอเป็นคนเด็ดขาดในเรื่องความรักมาก ใช่หรือไม่ก็ต้องบอกกัน ไม่นั่งทนอยู่กับความไม่ชัดเจน อาจจะเป็นเพราะว่าเธอเป็นคนที่เข้าวัดและปฏิบัติธรรมเป็นประจำ จึงทำให้เธอเป็นผู้หญิงที่ตัดสินใจได้เด็ดขาด ซึ่งบางครั้งมันอาจไม่ง่ายนักสำหรับใครหลายๆ คน

“เพชรยิ่งโตขึ้นมาเรื่อยๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าทำใจกับเรื่องของความรักได้ง่ายขึ้น กับการเสียใจ กับความผิดหวัง ไม่ค่อยได้หวังอะไรมาก เพราะว่าอาจจะเป็นที่เราชอบเข้าวัด พระอาจารย์ก็จะชอบพูดว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญเลยนะ แล้วพอเราปรับใช้กับความสัมพันธ์ ความรู้สึกมันก็ทำให้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ เราจะรู้สึกเลยว่าถ้ามันไม่ใช่มันก็ไม่ใช่นะ คือเรากลับมาหาความสุขกับตัวเองดีกว่า เราทำใจได้แล้วก็ยังเป็นเพื่อนกันได้”

รับมือกับข่าว

เธอยอมรับว่า เธอเป็นผู้หญิงที่ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายธรรมดา แต่พอเธอคบกับพระเอกหนุ่มชาคริต แย้มนาม ก็ทำให้หลายคนให้ความสนใจทั้งตัวเธอ และความสัมพันธ์ของเธอกับชาคริต แถมยังถูกนักข่าวตามสัมภาษณ์

“คือรู้อยู่แล้วว่าถ้าเราคบกับคนนี้ก็ต้องมีข่าว คือก็ไม่ชอบอยู่แล้ว แต่เราก็บอกพี่นักข่าวทุกคนว่าเข้าใจความต้องการของพี่นะ แต่เขาก็ต้องเข้าใจหนูด้วยว่าชีวิตของหนูไม่ได้อยากจะบอกทุกคน แต่ก็เข้าใจว่าพี่เขาเป็นคนของประชาชน เพราะฉะนั้นก็จะไม่รำคาญ ไม่โทษ เอาเป็นว่าเพชรตอบได้แค่ไหนก็แค่นั้น คนละครึ่งทาง”

ตั้งแต่เธอ เริ่มคบกับชาคริต เธอ ยอมรับว่าทำให้เธอระมัดระวังตัวมากขึ้น โดยเฉพาะงานสังคม ถ้าไม่จำเป็นหรือสำคัญจริงๆ เธอจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ออกงาน

“แต่ถ้างานไหนเลือกไม่ไปได้ก็จะไม่ไป แล้วช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้อยากออกไปไหนอยู่แล้ว จริงๆ เพชรเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง เมื่อเป็นข่าวแล้วเราก็ต้องแคร์ข่าวระดับหนึ่ง เพราะว่ามันเป็นภาพลักษณ์เรา วิธีของเพชรคือจะพูดความจริง เพราะว่ายังไงความจริงก็คือความจริง เพชรจะไม่พยายามปกป้องตัวเอง เพราะถ้าอยู่มาวันหนึ่งเขารู้ว่าความจริงเป็นยังไง เราจะยิ่งโดนว่า ว่าเราโกหก สตรอเบอรี

ปกติเพชรจะไม่อ่านข่าว เพราะกลัวว่าสิ่งที่เราพูดไป เขาจะเขียนออกมาในแง่ลบ ในอินเทอร์เน็ตนี่บ๊ายบายเลย คอมเมนต์ข้างล่างนี่อย่าได้อ่านเลย เคยลองแล้วจะร้องไห้ คือเพื่อนเป็นดาราก็เยอะ อย่างกิ๊บซี่ (วงเกิร์ลลี่ เบอร์รี่) พี่คริต (ชาคริต) พี่ได๋ (ไดอาน่า) เพชรจะสนิทกับเพื่อนในวงการหลายคน บางคนยังบอกเลยว่าเวลานักข่าวถาม ไม่ต้องไปตอบหมด แต่บางทีพอเขาซักเยอะๆ ก็รู้สึกว่าตอบๆ ไปเถอะ คนที่อ่านข่าวที่เพชรให้สัมภาษณ์เรื่องพี่คริต คนเขาก็บอกว่าตอบดีนะ”

เรื่องความรักขอเบรกไว้ก่อน

ประสบการณ์ความรักของเพชรที่ผ่านมา ทำให้เธอโตขึ้น และมีมุมมองความรักที่เปลี่ยนไป แต่ก็ยังอยากมีความรักที่มีความสุข สำหรับตอนนี้เธอบอกกับเราขอเบรกเรื่องความรักไว้ก่อน อยากใช้เวลาที่มีอยู่กับครอบครัวและมีความสุขกับการใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ

“เพชรก็เป็นผู้หญิง ก็ยังอยากมีความรักอยู่ เพชรว่าทุกความสัมพันธ์มันทำให้เพชรเปลี่ยนไปนะ เพราะการที่เราใช้ชีวิตคุยกับคนคนหนึ่งทุกวันเป็นเวลา1-2 ปี เราต้องเอานิสัยเขามาบ้าง เพชรก็เป็น ขนาดวิธีการพูด คำศัพท์ที่ใช้ นิสัยการกิน ก็ต้องมี กลายเป็นเราตอนนี้กับเราเมื่อ 6 ปี ที่แล้วไม่ได้เหมือนกัน

แต่ตอนนี้เพชรไม่ได้คิดเรื่องความรักเลย เบรกไว้ก่อน ตอนนี้เพชรจะให้ความสำคัญในเรื่องของการมีชีวิต จะพูดว่ารักตัวเองก็ได้ คือตอนนี้เพชรอายุจะ 25 แล้ว เกือบจะสายไปแล้วที่จะทำหลายๆ อย่าง ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดี ที่เพชรอยากจะทำ ถ้าเกิดเรามีโอกาสที่จะช่วยเหลือใครเราก็จะทำ มีเวลาให้คุณพ่อคุณแม่”

เสปคเจ้าชู้ไม่สำคัญ

สไตล์ผู้ชายแบบที่เธอชอบนั้นต้องเป็นคนสะอาด ดูเป็นผู้ใหญ่และรักศิลปะ lส่วนผู้ชายเจ้าชู้นั้นเพชรบอกว่า รับได้ แต่ถ้าจับได้ว่าอยู่ด้วยกันแล้วเจ้าชู้ก็เลิก

“ชอบผู้ชายที่ดูสะอาด ประมาณว่าเป็นนักธุรกิจ เป็น CEO แต่เวลาว่างไปทะเล ลุย ผู้หญิงส่วนใหญ่จะกลัวมากผู้ชายเจ้าชู้ แต่เพชรไม่มายด์ เพชรมองว่าผู้ชายเจ้าชู้ถ้าเขารักเราเขาก็อยู่กับเรา แต่ถ้าเขาเจ้าชู้แล้วเราจับได้ เราก็เลิก เพราะว่ามันแสดงว่าเขาไม่ได้รักเราจริง”

คุณพ่ออยากให้เรียนศิลปะ

เพชรเล่าว่า ด้วยความที่คุณพ่อเป็นคนรักศิลปะ จึงอยากให้ลูกเรียนด้านศิลปะ แต่ท่านจะไม่เคยบังคับว่าต้องเรียนหรือทำงานอะไร ลูกๆ จึงตัดสินใจ และรับผิดชอบด้วยตัวเอง

“คุณพ่อจะบอกว่าอยากเรียนอะไรก็ได้แล้วแต่เราชอบ แต่ท่านเป็นคนรักศิลปะ ก็เลยอยากให้ลูกๆ เรียนศิลปะ อย่างน้องชายตอนนี้ก็เรียน Architect พี่สาวก็เรียน Business แล้วก็ไปเรียนภาษาจีนต่อ อย่างเพชรเนี่ยจริงๆ แล้วชอบภาษา แต่ว่าไม่อยากเลือกภาษาอังกฤษหรือภาษาฝรั่งเศสเป็นวิชาหลัก ก็เลยเลือกเรียนประวัติศาสตร์ เพราะว่าได้ทั้งภาษา การเขียน แล้วก็ได้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลปะ”

เมื่อพิพิธภัณฑ์ศิลปะกำลังใกล้จะเปิดตัว ตอนนี้นอกเหนืองานทีซิสที่เธอต้องทำให้จบ เธอยังต้องช่วยคุณพ่อดูแลเรื่องของพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่กำลังจะเปิดในต้นปีหน้าอีกด้วย

“คุณพ่อกำลังทำพิพิธภัณฑ์ศิลปะ สร้างขึ้นข้างๆ ตึกเบญจจินดา ถนนวิภาวดี โดยมีบริษัท PlA ออกแบบให้ ตัวตึกจะเป็นรูปทรงโมเดิร์น ขนาดใหญ่ มีพื้นที่กว้างขวาง ข้างในจะจัดแสดงศิลปะที่คุณพ่อชอบและเก็บสะสมไว้เปิดให้คนทั่วไปได้ดูฟรี และจะมีส่วนที่เปิดโอกาสให้ศิลปินได้จัดแสดงผลงานฟรีอีกด้วย

หลายคนคงทราบกันดีว่า ในประเทศไทย คือคนที่เห็นคุณค่าในศิลปะก็เยอะ แต่ว่าคนที่เห็นคุณค่าของงานศิลปะจนถึงขั้นที่จะซื้อตั๋วเข้ามาดูก็คงไม่เยอะ เพราะฉะนั้นที่เราทำ เราไม่ได้หวังผลตอบแทนหรือหวังกำไร

คุณพ่ออยากให้เพชรช่วยดูแลในเรื่องของการจัดกิจกรรม โดยให้แต่ละโรงเรียนมาเข้าชมนิทรรศการ ส่วนตัวเพชรในฐานะที่เป็นคนรุ่นใหม่ ก็อยากลองนำความสมัยใหม่ ความ Hip เข้ามา อาจจะการจัดกิจกรรม ชวนเพื่อนมาร่วมกิจกรรม ทำให้มันเป็น Social มากขึ้น เพราะเพชรมองว่าอยากให้เรื่องศิลปะเป็นอะไรที่ทันสมัย ดูเท่ และคนสนใจเหมือนอย่างเรื่องแฟชั่น”

อนาคตมาร์เกตติ้งดีแทค

ความที่เห็นคุณพ่อกำลังจะทำพิพิธภัณฑ์ศิลปะ เธอจึงเลือกเรียนปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์ ที่ Bristol University ประเทศอังกฤษ และเรียนต่อปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ (Management) ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อที่จบมาก็สามารถที่จะเข้าไปทำงานที่บริษัทดีแทคได้ด้วย

“พอทราบว่าคุณพ่อกำลังจะขายหุ้นดีแทค และจะทำพิพิธภัณฑ์ศิลปะ เพชรก็เลือกเรียนวิชาที่ชอบอย่างอาร์ต ซึ่งคุณพ่อก็อยากให้เรียน แต่เพชรก็อยากเรียนที่เป็น Management จะได้ทำงานอย่างอื่นได้ด้วย มันจะได้ไม่ต้องกำหนดตัวเองว่าต้องทำงานในสาขาเดียวตลอด

เพชรเพิ่งมาเริ่มชอบพวก Marketing เมื่อ3-4 ปีที่แล้ว คือรู้ตัวว่าตัวเองไม่ชอบทำงานด้าน Finance กับ Accounting ก็เลยมาลงตัวที่ Marketing ชอบที่ต้องใช้ความคิด ใช้ฝั่งศิลปะนิดๆ บวกกับความรู้เรื่องธุรกิจ สำหรับในอนาคตตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าอยากทำงานด้าน Marketing ให้บริษัทดีแทค”

ตอนเรียนจบปริญญาตรี เพชรเล่าว่าเคยฝึกงานที่บริษัทดีแทคอยู่ปีกว่าๆ แต่ด้วยความที่ฝึกงานกับบริษัทที่เป็นธุรกิจของครอบครัว จึงทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าใช้เธอทำงานเท่าไหร่นัก ตอนนั้นก็เลยไม่ค่อยได้ทำอะไรมาก ค่อนข้างสบาย เพราะว่าไม่มีใครกล้าใช้เธอ ทั้งๆ ที่คุณพ่อก็บอกทุกคนว่าให้ใช้เพชรได้ตามสบาย

เคยฝันอยากเป็นนักบินอวกาศ

ย้อนไปตอนเพชรเป็นเด็ก ประมาณ 7-10 ขวบ เธอเป็นเด็กสาวที่ฝันอยากเป็นอะไรหลายอย่าง ซึ่งแต่ละอย่างนั้นไม่ค่อยเป็นอาชีพธรรมดาๆ เหมือนที่เด็กคนอื่นเขาฝันกัน

“ด้วยความที่เป็นเด็กที่ชอบอ่านการ์ตูนเยอะ ดูหนังเยอะ พอเห็นอะไรก็คิดว่าอยากเป็นจังเลย ก็เลยมีความฝันหลายอย่างมาก เคยคิดอยากเป็นนักบินอวกาศ นักสืบก็เคยอยากเป็น คือชอบอยากเป็นอะไรที่แปลกๆ แต่พอโตขึ้นมาก็อยากเป็นทนายความ อยากเป็นอาจารย์ แต่ว่ารู้สึกบุคลิกจะไม่ค่อยให้เท่าไหร่ แต่ตอนนี้ก็ยังอยากเป็นอาจารย์อยู่นะ แต่คิดว่าคงต้องอีกสักพัก”

เวลาว่างเป็นอาสาสมัคร

เมื่อเรามี เราก็ต้องแบ่งปัน นี่เป็นคำสอนและวิธีปฏิบัติของคุณพ่อที่เธอซึมซับมาตั้งแต่เด็ก และทำให้เธอใช้ชีวิตตามรอยคุณพ่อ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน ความรักศิลปะ หรือแม้แต่การช่วยเหลือคน ช่วงนี้ถ้าใครไปที่โรงเรียนสอนเด็กตาบอดกรุงเทพฯ อาจจะได้เห็นคุณครูเพชรกำลังสอนหนังสือเด็กอยู่ก็เป็นได้

“เห็นคุณพ่อทำงานหนักมาตลอด พอถึงจุดหนึ่งที่ท่านขายหุ้น เงินส่วนหนึ่งท่านก็อยากคืนให้สังคม ท่านจะมีพวก Charity อย่างโครงการสำนึกรักบ้านเกิด ไปทำงานเพื่อสังคม ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เพชรไม่ใช่นางสาวไทยนะ แต่เพชรรักเด็ก (หัวเราะ) ชอบไปเลี้ยงอาหารเด็ก แล้วก็อุปถัมภ์เด็ก คือมีกิจกรรมอะไรที่ได้ช่วยเหลือสังคมเพชรก็อยากจะทำ เพราะทำแล้วรู้สึกดี อย่างตอนนี้ก็ชวนเพื่อนไปเป็นครูอาสาสมัครที่โรงเรียนสอนเด็กตาบอดกรุงเทพฯ บังเอิญเพชรได้ไปที่นั่นหลายครั้งแล้ว แล้วเห็นว่าเขามีให้ช่วยเหลือตรงนี้ เพชรก็เลยไปสมัคร ตื่นเต้นเหมือนกัน เขาจะให้สอนวันจันทร์ถึงวันศุกร์ บ่ายสามถึงห้าโมงเย็น ถ้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่เพชรก็จะเข้าไปสอน ก็จะสอนวิชาที่เพชรถนัดคือศิลปะกับภาษา”

ลูกไม้ใต้ต้นของคุณพ่อ

มองภายนอก เพชรจะเป็นผู้หญิงที่ดูนิ่งๆ และจากการได้พูดคุยทำให้รู้สึกว่าเธอมีความคิดอ่านที่ดีและเป็นผู้ใหญ่ ดูเป็นคนที่ตัดสินใจอะไรเด็ดขาด และเข้มแข็งมากทีเดียว ซึ่งเธอบอกว่านิสัยของเธอส่วนใหญ่จะได้มาจากคุณพ่อ

“คุณแม่เป็นผู้หญิงที่อ่อนโยน และก็มีความเป็นผู้หญิงมากๆ เป็นคนที่เอาใจใส่คนรอบข้างและครอบครัว ซึ่งตรงนี้เป็นจุดดี แต่เพชรไม่ค่อยได้เก็บมาเท่าไหร่ แต่ก็อยากเป็นเหมือนคุณแม่นะคะ ตอนนี้ก็พยายามฝึกไปเรื่อยๆ ส่วนนิสัยของคุณพ่อเพชรจะได้มาเยอะ ไม่ว่าจะเป็นความศิลปินหรือเวลาที่อยากทำอะไรจะตัดสินใจแล้วจะทำเลย มีความพยายามต้องทำให้ได้”

แต่เพชรบอกว่านิสัยที่อยากทำอะไรต้องทำให้ได้ของเพชรไม่ใช่ว่าจะเป็นข้อดีอย่างเดียว เธอเคยใช้ประโยชน์จากนิสัยนี้ในทางที่ไม่ดีมาแล้ว ตอนที่เรียนที่อังกฤษแล้วอยากกลับบ้าน
“มีอยู่ครั้งหนึ่งเพชรอยากกลับมาเมืองไทย เพชรก็จะทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้กลับมา ร้องไห้ โทร.หาคุณแม่ทุกวัน ไม่ยอมกินข้าว ประท้วงทุกอย่าง อันนี้มันก็เป็นข้อเสีย”

สาวหลายบุคลิก

ส่วนตัวตนที่แท้จริงของเธอนั้นเธอบอกว่าเป็นคนมีหลายบุคลิก และยังค้นหาตัวเองอยู่ นิสัยแบบไหนที่ดีเธอก็จะเก็บไว้ ส่วนนิสัยที่ไม่ดีเธอก็จะพยายามปรับปรุงแก้ไข เช่น นิสัยหาข้ออ้างตามใจตัวเองในยามที่เหนื่อยเกินไป

“ถึงแม้เพชรจะอายุเยอะแล้ว แต่เพชรก็ยังค้นหาตัวเอง เปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ แล้วแต่ว่าช่วงนั้นจะสนใจเรื่องอะไร อย่างบางครั้งเห็นคนที่เขาดูดี เราก็จะสังเกตและเก็บเอาจุดดีๆ ของเขามาปรับใช้กับตัวเรา ส่วนตัวแล้วเพชรจะเป็นคนใจเย็น เป็นคนง่ายๆ สบายๆ

เพชรเป็นคนดื้อเงียบ แล้วบางทีคนรอบข้างเราจะไม่รู้ว่าเราไม่ชอบ เพราะเราจะไม่พูด ไม่ขี้บ่นเลย เพชรเป็นคนที่ไม่เถียงใคร ไม่ค่อยว่าใคร เพราะรู้ว่าตัวเองเถียงสู้ใครไม่ได้ แต่อยู่ดีๆ ก็จะลุกขึ้นมาบอกว่าฉันไม่ชอบนะ ซึ่งคนอื่นจะถามว่าแล้วทำไมตอนนั้นไม่พูด

ข้อเสียของเพชรคือ เพชรจะเป็นคนตามใจตัวเอง อย่างเรื่องการบ้านเพชรจะปล่อยจนวินาทีสุดท้ายแล้วค่อยทำ บางทีก็นอนดึก แต่ช่วงนี้ดีขึ้นเรื่อยๆ นะคะ เพชรคิดว่าถ้าเรื่องไหนที่เรารู้ว่าเป็นข้อเสีย เราก็ควรที่จะปรับปรุงตัวเอง อีกอย่างคือเพชรเป็นคนที่อธิบายสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาเป็นคำพูดไม่ค่อยเป็น แต่ถ้าเขียน เขียนได้”

เป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง

หลายคนมองว่าเธอเป็นสาวหรู ที่มีบุคลิกมั่นใจ แต่เธอบอกกับเราว่าจริงๆ แล้วเธอเป็นคนที่ไม่มั่นใจตัวเองเท่าไหร่นัก

“เพชรเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองเลย อย่างไปเดินแบบงานอีเว้นท์ก็เกร็งนะ แต่ว่ารับงานไปแล้ว ด้วยสถานการณ์และทุกอย่างบังคับให้ตัวเองต้องทำให้ได้ เห็นเวลาอยู่บนเวที มั่นใจ แต่จริงๆ ข้างในสั่น อย่างเวลาให้สัมภาษณ์ก็กลัวว่าจะพูดไม่ดีหรือเปล่า กลัวไปหลายๆ ปัจจัยน่ะค่ะ ข้างในก็เกร็งนะคะ แต่พอทำบ่อยๆ ก็เริ่มชิน”

คิดเยอะจนลืมดูแลตัวเอง

ก่อนหน้านี้เพชรบอกว่าเธอเป็นคนที่ดูแลตัวเองมาก ไม่ว่าจะเป็นการเลือกกินอาหาร การออกกำลังกาย แต่ช่วงนี้มีเรื่องให้คิดเยอะ จึงทำให้เธอละเลยที่จะดูแลตัวเอง

“ตอนวัยรุ่นนี่เรื่องหุ่นมาก่อนเลย กลัวอ้วนมาก ดูแลตัวเองเรื่องการกินมาก แต่ช่วงนี้ เหมือนคิดเรื่องอื่นซะเยอะ จนทำให้ขี้เกียจ ก็เลยกินอะไรก็ได้ตามใจ แต่กลายเป็นว่าผอมลงไปอีก เพราะการที่เราคิดเรื่องอาหารทั้งวัน มันจะกลายเป็นว่าทำให้เราอยากกิน”

“ปกติชอบว่ายน้ำ แต่เห็นสระว่ายน้ำที่บ้านไม่ว่ายนะ ต้องไปว่ายที่อื่น ชอบไปว่ายน้ำกับเพื่อน ชอบเล่นโยคะ แต่ช่วงนี้เพชรไม่ได้เล่นอะไรเลย คือพอหยุดกินเฮลตี้มันจะเริ่มขี้เกียจ ตอนแรกคิดเอาไว้ว่าสองอาทิตย์จะกลับไปเล่นใหม่ นี่ผ่านมาสองเดือนแล้ว ยังไม่ได้ออกกำลังกายเลย ตอนที่ออกกำลังกายรู้สึกเลยว่านอกจากจะได้สุขภาพแล้วยังทำให้อารมณ์ดี และแอ็กทีฟ อย่างตอนนี้ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย จะรู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา ไม่ค่อยสดชื่น”

สัตว์เลี้ยงสุดโปรด

พอพูดถึงเจ้ากระต่ายที่เธอเลี้ยงไว้ เธอเล่าเรื่องกระต่ายน้อย ด้วยท่าทางร่าเริง และมีความสุข คงเพราะการเลี้ยงอะไรสักอย่างต้องใช้ความรัก และมันก็ทำให้เธอมีความสุข

“เพชรเห็นกระต่ายพันธุ์นี้ ชื่อพันธุ์มินิล็อบในยูทิวบ์ แล้วมันอ้วนๆ น่ารัก หูมันจะตก ตอนแรกก็กลัวเลี้ยงแล้วมันจะตาย แต่พอซื้อมาเลี้ยงมันก็ร่าเริง เลี้ยงมาปีกว่า ซื้อมาเป็นคู่ แล้วมันก็ออกลูกมาน่ารัก สองตัวนี้เป็นลูกๆ ชื่อทิฟฟิ่นกับทอฟโฟ่ น่ารักมาก”

สุขที่ได้ทำอะไรใหม่ๆ

ความสุขของเพชรนั้นหาไม่ยาก แค่การที่ได้ทำอะไรใหม่ๆ หรือไปเที่ยว แต่ถ้าอยู่เฉยๆ โดยที่ไม่ได้ทำอะไรล่ะก็ เธอจะรู้สึกว่าวันนั้นเป็นวันที่ไม่มีประโยชน์และไม่มีความสุข

“เวลาเพชรเบื่อ หรือเครียด เพชรก็จะชอบไปเที่ยว เพิ่งไปศรีพันวามา ชอบภูเก็ต ชอบทะเล ไม่ต้องเล่นน้ำทะเล แค่เปลี่ยนบรรยากาศก็รู้สึกดีแล้ว อย่างถ้าอยู่กรุงเทพฯ จะชอบไปนวด แต่รู้สึกว่ากรุงเทพฯ ไม่ค่อยมีอะไรให้ผ่อนคลายมากมาย

เพชรจะหาความสุขด้วยการทำโปรเจกต์ใหม่ๆ เพชรจะรู้สึกดีเวลาที่มีอะไรทำ อย่างไปช่วยสอนเด็ก เพชรก็รู้สึกดีมาก คือเพชรไม่ชอบความรู้สึกที่ตื่นมาแล้ววันนี้เราไม่ได้ทำอะไร เพชรบอกคุณแม่เลยว่าไม่ต้องห่วงว่าเพชรจะไม่ทำอะไร คือเพชรอยู่เฉยๆ ไม่ได้ เพชรจะเป็นบ้า”

ใช้ชีวิตแบบพอดี

แม้จะเกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวย แต่ทัศนคติในการใช้ชีวิตของเธอคือใช้ความพอดีในการเตือนตัวเองในทุกเรื่องของการใช้ชีวิตอย่างมีสติ

“เพชรชอบคำว่าความพอดี ด้วยความที่เพชรโตมาในครอบครัวที่ค่อนข้างจะมีโอกาสและโชคดีมากกว่าคนหลายๆ คน เพราะฉะนั้นเพชรจะพยายามเตือนตัวเองว่าอย่าสปอยล์ อย่าเหลิง อย่าใช้ชีวิตตามใจตัวเอง ไม่ทำงานก็ได้ ไม่ควรใช้ชีวิตสนุกเฮฮาอย่างเดียว ควรจะมีเรื่องธรรมะบ้าง ช่วยเหลือคนอื่นบ้าง เพชรว่าทุกอย่างต้องอยู่ในความพอดี”

เข้าวัดตั้งแต่เด็ก

การที่คุณพ่อพาเธอเข้าวัด ฟังธรรมะตั้งแต่เด็ก จากตอนแรกที่ไม่ชอบ กลายเป็นว่าทำให้เธอได้ซึมซับคำสอนมาโดยตลอด และทำให้เธอเป็นผู้หญิงที่ใจเย็น ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และมีสติมาจนถึงทุกวันนี้

“คุณพ่อจะพาไปเข้าวัดตั้งแต่ 10 ขวบ ตอนแรกไม่อยากไปเลย รู้สึกว่ามันร้อน คนเยอะ แต่พอไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าเราซึมซับในสิ่งที่พระอาจารย์สอน อย่างเวลาไปนั่งสมาธิ วิปัสสนามาอาทิตย์หนึ่ง รู้สึกเลยว่าเราใจเย็น เรารู้สึกว่าเราฉลาดขึ้นทันที เพราะว่ามันไม่มีเรื่องอื่นเข้ามาในหัว

ทุกวันนี้เพชรก็ชอบไปวัด ไปฟังพระอาจารย์เทศน์บ่อยๆ เพชรคิดว่าคนเราอย่างน้อยสักอาทิตย์หนึ่งเนี่ยจะต้องมีเวลาที่อยู่กับตัวเอง อยู่กับธรรมะ ชีวจิตสัก 3 ชั่วโมง ซึ่งมันน้อยมาก ถ้าเทียบกับเวลาที่เราไปทำอย่างอื่นที่ไม่มีสาระ แต่เรามักจะหลงลืม ไม่ค่อยได้ใช้เวลาตรงนี้เท่าไหร่ เพราะว่าเราอยู่ในเมือง อยู่ในสังคมที่มันวุ่นวายไปหมด”

ธรรมะแก้เครียด คลายทุกข์

สำหรับเพชรการใช้ธรรมะเป็นการแก้ปัญหาชีวิตได้ดีที่สุด เพราะไม่ว่าจะทุกข์เรื่องอะไร เมื่อไปวัดก็ทำให้จิตใจดีขึ้น และตัดสินอะไรได้อย่างฉลาด

“เวลาเครียดเนี่ย ธรรมะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว ตอนนี้เพชรก็ถือว่าอยู่ในช่วงปกติ ไม่ได้เครียด ไม่ได้แฮปปี้ แต่ก็ไม่อยากให้ลืมที่จะเข้าหาวัด เพราะบางทีเวลาที่เพชรมีความสุขมากๆ เพชรก็จะลืม ไม่สนใจเข้าวัด แต่พอเวลาเราทุกข์ เราสวดมนต์ทุกวัน ไปวัดเองเลย

ตอนเป็นวัยรุ่นก็มีปัญหาเรื่องจุกจิกทั่วไป อย่างเรื่องความรักก็เป็นทุกข์มากนะ ถึงขนาดมีข่าวฆ่ากันตาย เรื่องการเรียนก็ทำให้เครียด เรื่องเพื่อนอีก การไปวัดทำให้เพชรรู้ว่า เราเกิดมาคนเดียว เดี๋ยวเราก็ตายแล้ว เรื่องความรักจริงๆ แล้วมันไม่ได้สำคัญเลย”

ชื่อ-สกุล: บุญญาภาณิ์ เบญจรงคกุล (เปลี่ยนจากชื่อเดิมคือ ปองปุณย์)
ชื่อเล่น: เพชร
วัน เดือน ปีเกิด: 28 สิงหาคม 2528
ประวัติการศึกษา: ปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์ ที่ Bristol University ประเทศอังกฤษ, ปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ภายโดย ศิวกร เสนสอน

รายงานข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTVสุดสัปดาห์

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 16 กรกฎาคม 2553 23:26 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
จัดคอร์สไฟลต์ฟอร์ฟิตร่วมกับครูตุ่น
บรรยากาศในชมรมศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวอรรถยุทธ์
ถ่ายภาพกับสามีและลูกชาย
ได้รับรางวัลมิสบอดี้ฟิตเนสแห่งประเทศไทย
นางฟ้าผู้หลงใหลกีฬาเพาะกายและศิลปะป้องกันตัว กอล์ฟ-ขนิษฐา มะคงสุข หน้าที่หลักของเธอคือเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสายการบินไทย ส่วนเวลาว่างนั้นเธอหันมาเอาดีทางด้านการเล่นกีฬาเพาะกายและสามารถทำได้ดีถึงขั้นเป็นแชมป์เพาะกายหญิงรุ่นบอดี้ฟิตเนสของประเทศไทย
วันนี้ M-Healthy จะพาผู้อ่านไปรู้จักตัวตนและประสบการณ์การเป็นแอร์โฮสเตส และการเป็นนักกีฬาเพาะกายของนางฟ้าคนสวยคนนี้กัน แถมเธอยังมีเคล็ดลับในการออกกำลังกาย แบบผสมผสานระหว่างศิลปะป้องกันและฟิตเนสมาบอกอีกด้วย

นางฟ้าเฟิสต์คลาส

กอล์ฟเป็นผู้หญิงคนหนึ่งในจำนวนผู้หญิงหลายๆคน ที่มีความใฝ่ฝันอยากเป็นแอร์โฮสเตรส และเธอก็ทำความฝันนั้นสำเร็จ และปฏิบัติหน้าที่ที่เธอได้รับผิดชอบเป็นอย่างดีมาโดยตลอดระยะเวลาเกือบ 16 ปี จนถึงวันนี้เธอได้รับตำแหน่งการบริการในชั้นสูงสุดคือชั้น ‘เฟิสต์คลาส’

“ตอนที่ไปสมัครเป็นแอร์โฮสเตส ก็มีความคิดเหมือนเด็กสาวหลายๆคน ที่คิดว่าถ้าได้ทำงานในอาชีพนี้คงได้มีโอกาสท่องเที่ยวต่างประเทศ ได้ไปเห็นสิ่งต่างๆ แต่ขั้นตอนก่อนที่จะได้เข้าก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการแข่งขันตอนสอบเข้าก็สูงมาก แต่กอล์ฟถือว่าโชคดี สอบข้อเขียน สอบสัมภาษณ์ ก่อนแล้วถึงเอาผลโทอิค ต่างจากสมัยนี้ที่ต้องใช้ผลโทอิคก่อน

แต่พอได้เข้ามาทำงานจริงๆ มันมีอะไรที่นอกเหนือจากความสนุกสนาน นั่นก็คือความรับผิดชอบ เราต้องดูแลในเรื่องความปลอดภัยของผู้โดยสาร และของเพื่อนๆ พนักงานด้วยกัน ทำให้เราคิดว่างานนี้เป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่เพราะว่าต้องใช้สมอง และศิลปะในการที่จะดูแล ให้ความสะดวกสบาย ให้ความพอใจสูงสุดแก่ผู้โดยสาร แต่ในขณะเดียวกันจะทำอย่างไรให้รักษามาตรฐานความปลอดภัยในด้านการบินไว้ด้วย”

ใช้เวลาว่างทำงานจิตอาสา

นอกจากจะทำหน้าที่ลูกเรือของเธอได้เป็นอย่างดีแล้ว เธอยังเป็นคนที่มีจิตอาสา มีเวลาว่างเธอมักจะไปเป็นอาสาสมัครตามที่ต่างๆ เพื่อสอนศิลปะการป้องกันตัว วิชาที่เธอถนัดและมองว่าเป็นประโยชน์

“งานประจำของกอล์ฟคือเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน และก็เป็นครูสอนศิลปะป้องกันตัวให้กับลูกเรือของการบินไทยด้วย ทางด้านที่เกี่ยวข้องกับนิรภัยการบิน ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ ถ้ามีเวลาว่างกอล์ฟกับเพื่อนๆ ลูกเรือของการบินไทย ก็จะไปทำหน้าที่เป็นทีมตำรวจอาสาสมัคร คอยช่วยเหลือนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ ที่ประสบปัญหาต้องการความช่วยเหลือ”

นอกจากนั้นกอล์ฟยังได้รับเชิญให้ไปสอนศิลปะการป้องกันตัวตามโรงเรียน เธอมองว่าการเรียนรู้เรื่องศิลปะป้องกันตัวเป็นการกระตุ้นจิตสำนึกในการระแวดระวังภัย การป้องกันตัวเอง ทำให้เยาวชนได้มีจิตสำนึกในเรื่องของการดูแลสุขภาพด้วย และสามารถปกป้องตนเองจากภัยจากสิ่งเสพติด

“การฝึกทักษะการป้องกันตัว จะทำให้เรามีสัญชาตญาณในการระวังสถานที่ ระวังคน ระวังเหตุการณ์ต่างๆ ในฐานะที่กอล์ฟทำงานสายการบิน ซึ่งหน้าที่คือดูแลเรื่องความปลอดภัย เพราะฉะนั้นกอล์ฟก็อยากจะแบ่งปันแนวความคิดในการดูแลเรื่องความปลอดภัย ไม่ใช่เฉพาะบนเครื่องบินเท่านั้น แต่อยากเผื่อแผ่มาถึงบนดินด้วย”

เพาะกาย กีฬาของผู้ชาย?

นางฟ้ากล้ามใหญ่เล่าว่าเธอเล่นกีฬาเพาะกายมาประมาณ 5 ปีแล้ว ที่เริ่มเล่นครั้งแรกเนื่องจากต้องการลดน้ำหนักและอยากให้หุ่นเฟิร์ม แต่เล่นไปเล่นมาก็ทำให้เธอกลายเป็นนักกีฬาเพาะกายทีมชาติ ได้รางวัลระดับประเทศเลยทีเดียว

“เริ่มจากสามีที่เป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเหมือนกัน เขาเล่นกีฬาประเภทนี้อยู่แล้ว แต่เราไม่ได้สนใจกีฬาประเภทนี้ เพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นกีฬาของผู้ชายมากกว่าในมุมมองของเรา เพราะว่าอุปกรณ์แต่ละชิ้นมันดูหนักๆ หลังจากที่เราคลอดลูกน้ำหนักก็ขึ้นมาประมาณ 20 กิโลพอเรามีปัญหาในเรื่องน้ำหนักตัวที่มันเพิ่มขึ้นเยอะ แล้วก็ได้ลองพยายามที่จะควบคุมน้ำหนักด้วยวิธีต่างๆ ก็ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง คือน้ำหนักลดลงจริง แต่กล้ามเนื้อไม่กระชับ ยังตอบโจทย์ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ดูไม่สดชื่น ไม่สดใส ดูโทรมๆ ปัญหาหน้าท้องยังคงอยู่ สามีก็เลยชวนให้มาลองเล่นกีฬาประเภทนี้ดูเป็นทางเลือกหนึ่ง พอได้มีโอกาสมาสัมผัส ก็ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดนะ เล่นประมาณ 3 เดือน เราเริ่มเห็นผลของการเปลี่ยนแปลงของร่างกายของเรา ก็เลยเล่นต่อเนื่องมาเรื่อยๆ”

เทรนเนอร์เห็นแววส่งประกวด

เมื่อกอล์ฟเริ่มเล่นกีฬาเพาะกายได้ประมาณ 2 ปี ก็เริ่มมีเทรนเนอร์เห็นแวว และชักชวนให้เธอเข้าประกวดในกีฬาประเภทนี้

“ตอนนั้นเล่นมาประมาณ 2 ปี ก็มีกล้ามเนื้อในระดับหนึ่งแล้ว และควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรต ทำให้เห็นความชัดเจนของกล้ามเนื้อ เทรนเนอร์ คุณโชคอนันต์ สิงหจินดาวงศ์ก็แนะนำว่าเราน่าลองหาประสบการณ์ในการแข่งขันระดับประเทศดูบ้างนะ ก็คิดว่าคงจะไม่เอา เพราะเราไม่มีความมั่นใจ เราเล่นเพื่อสุขภาพ คงไม่ถึงขั้นแข่งขันเป็นนักกีฬาระดับประเทศ ก็เลยมาขอคิดดูก่อนก็ปรึกษาสามี

ปรากฏว่าสามีให้กำลังใจบอกว่าน่าจะลองดู อาจจะเป็นแรงจูงใจให้เราออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง กอล์ฟก็เลยตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการ เริ่มซ้อมและเรียนรู้ท่า หาประสบการณ์ข้อมูลต่างๆ ว่าต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

พอศึกษารายละเอียดแล้วก็ต้องมาดูท่าที่เราจะใช้ในการแข่งขันว่ามีอะไรบ้าง ต้องไปศึกษากับเทรนเนอร์ที่เขาเป็นนักเพาะกายทีมชาติจริงๆ ให้เขาสอนท่าโพสท่าบังคับ ที่อาจจะต้องใช้ในการแข่งขัน

ช่วงนั้นต้องเหนื่อยกับการศึกษา การเดินทางไปซ้อม ไม่ใช่แค่ยกเวต ยังต้องซ้อมท่าไปใช้บนเวทีอีก ท่าในครั้งแรกยังมีการโพสที่เป็นแบบผู้ชายอยู่บ้างเพราะเทรนเนอร์เป็นผู้ชาย ก็เลยให้โอ๋-ลำดวน มาช่วยทำให้ท่าดูซอฟต์ลง ในครั้งแรกถือว่าเป็นประสบการณ์ที่สนุกสนานและเหนื่อยมากเลย”

บทบาทที่แตกต่างมาก

การเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ดูสวยงาม แต่การเป็นนักกีฬา ดูเข้มแข็ง บึกบึน ซึ่งสองอย่างนี้เป็นอะไรที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่กอล์ฟสามารถทำสองอย่างได้เป็นอย่างดี

“หลายคนรู้สึกว่าเราไม่น่ามาแข่งกีฬาประเภทนี้ แต่จริงๆ แล้วไม่ได้อยู่ที่อาชีพอะไร แต่ถ้าคุณมีความมุ่งมั่น มีความตั้งใจ อาชีพอะไรก็ตาม อายุเท่าไหร่ก็ตาม ถ้าคุณคิดว่าทำได้ กอล์ฟว่าคุณก็ต้องทำได้

แต่ด้วยเรื่องข้อจำกัด เรื่องเวลา เรื่องอาชีพ แต่เราสามารถทำได้ แล้วดีด้วย บางคนเห็นก็ชื่นชม ที่เรามีสุขภาพดีขึ้น เพราะอาชีพเราเป็นอาชีพที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพ จากการเดินทาง จากการพักผ่อน เพราะฉะนั้นการดูแลสุขภาพสำหรับอาชีพนี้ถือว่าสำคัญมาก”

เห็นความสำคัญของศิลปะป้องกันตัว

ด้วยอาชีพที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศตลอด ทำให้เธอมองหาวิธีที่จะดูแลและป้องกันตัวเอง ด้วยการเรียนศิลปะกาป้องกันตัว โดยเริ่มจากเรียนไอคิโด้

“เริ่มจากตัวเองฝึกศิลปะป้องกันตัว ฝึกไอคิโด้ ฝึกมวยไทย ฝึกมานานแล้วก่อนที่จะมาเป็นนักเพาะกาย อันดับแรกเพื่อป้องกันตัว ต่อมาคือเพื่อสุขภาพ ในช่วงแรกจากการที่เราเดินทางไปต่างประเทศบ่อย ก็อาจจะเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ เราต้องดูแลตัวเอง ก็คิดว่าน่าจะดีกว่าการไม่รู้อะไรเลย ก็เรียนต่อเนื่องมาเรื่อยๆ”

ตอนนี้ก็มีการทำคอร์สร่วมกับครูตุ่น-พันเอกหญิง กนกวรรณ ศรีไชยะ เป็นคอร์สที่ผสมผสานศิลปะการป้องกันตัวของชมรมอรรถยุทธ นำศาสตร์ต่างๆ เข้ามาผสมผสานในการป้องกันตัว

คอร์สไฟลต์ฟอร์ฟิต

ในฐานะที่เป็นนักกีฬาและเป็นมิสบอดี้ฟิตเนสและฝึกกับครูตุ่น-พันเอกหญิง กนกวรรณ ศรีไชยะ ก็เลยมีการทำคอร์สร่วมกับครูตุ่น เป็นคอร์สที่ผสมผสานศิลปะการป้องกันตัวและการออกกำลังกายแบบฟิตเนส ชื่อไฟลต์ฟอร์ฟิต
ขึ้นมา

“เราจะสอนเบื้องต้น ถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินเราจะช่วยเหลือตัวเองอย่างไร การหนีก่อน ให้คนอื่นมาช่วยเหลือ แล้วก็เข้าสู่ระดับการควบคุม การฝึกแบบต่อเนื่อง ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นเอาตัวรอดได้ การออกหมัดชกใช้กล้ามเนื้อจากแขน ใช้แรงจากหลัง มีการเคลื่อนไหวร่างกาย การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ สามารถมาประยุกต์ใช้กับการบริหารกล้ามเนื้อได้ในระดับหนึ่ง

จะมีสองส่วนหลักๆ คือการป้องกันตัว การยืดหดกล้ามเนื้อ ท่าฝึกต่างๆ ทักษะในการเคลื่อนไหวร่างกาย ทั้งมือและเท้า ทักษะการจู่โจม อาจจะเป็นการชก การเตะ การต่อย การเข้าล็อก การหนี

ประโยชน์ที่ได้รับคือได้ฝึกทักษะเบื้องต้นของการป้องกันตัว คือเพื่อทำให้เอาตัวรอดได้ และมีสุขภาพที่ดีขึ้นร่างกายจะค่อยๆ พัฒนาขึ้น จากการฝึกอย่างต่อเนื่องประจำสม่ำเสมอ ได้ทั้งการยืดหยุ่นของร่างกาย ระบบประสาท สัญชาตญาณ”

เคล็ดลับฝึกท่าป้องกันตัวเอง
ถ้าอยากมีซิกแพกก็ซิตอัพแบบง่ายๆ 3 เซต เซตละ 10-12 หรือวิดพื้น ถ้าฝึกป้องกันตัวไปด้วยก็ให้ยกมือขึ้นแบบคุยโทรศัพท์ ใช้ศอก ดันขึ้น-ลง แล้วสลับข้าง ส่วนฝึกการใช้ขาก็ให้ทำท่าย่อยืด แบมือออกเมื่อย่อตัวลง ยืดตัวกลับกำมือ ก็จะได้ทั้งส่วนบนส่วนล่าง ใช้ทักษะมวยไทย ให้ความแข็งแรงกล้ามเนื้อขาและก้นกระชับ

สอบถามคอร์สศิลปะป้องกันตัวที่เปิดสอนได้ที่ชมรมศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวอรรถยุทธ์ ลาดปลาเค้า81 ติดต่อครูตุ่น พันเอกหญิง กนกวรรณ ศรีไชยะ 089-1211741

ภาพโดย วรงค์กรณ์ ดินไทย

รายงานข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 16 กรกฎาคม 2553 23:26 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
เป็นครูอาสา ที่จังหวัดเชียงราย
เส้นทางชีวิตของผู้หญิงตัวเล็กคนนี้ ถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่เด็กว่าอนาคตต้องทำงานในธุรกิจสายการบิน สาวหน้าหวานที่มีบุคลิกเรียบง่าย แต่งตัวแบบสบายๆ สไตล์เสื้อเชิ้ต กางเกงยีนส์ ที่มีชื่อเล่นเป็นภาษาจีนน่ารักๆ ว่าเป่าเป๋า-มนัสนันท์ ตันติประสงค์ชัยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโอเรียนท์ไทยแอร์ไลน์ จำกัด

วันนี้เธอมาเล่าประสบการณ์การทำงานที่ต้องเริ่มตั้งแต่ระดับล่างสุด จนถึงระดับสูง โดยผ่านความกดดันและอุปสรรคนานัปการ และทำให้เป็นโรคเครียด จนกระทั่งเธอเริ่มอ่านหนังสือธรรมะ และได้ไปปฏิบัติธรรม โดยการช่วยเหลือคน ด้วยการเป็นครูอาสาเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เธอเปลี่ยนทัศนคติ จากคนที่เคยมองทุกอย่างเป็นเรื่องลบ กลายเป็นคนที่มองโลกอย่างเข้าใจมากขึ้น

ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น

ด้วยความที่ตามคุณพ่อ (อุดม ตันติประสงค์ชัย) ไปทำงานด้วยตั้งแต่เด็ก จึงทำให้ซึมซับความรักในธุรกิจสายการบินมาโดยที่ไม่รู้ตัว

“คุณพ่อจะลากไปทำงานด้วยตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เด็กจนโต จะเห็นคุณพ่อทำงานตลอด ท่านไปดูเครื่องบินที่อเมริกาก็จะพาเราไปด้วย เราก็จะคุ้นเคยในเรื่องของเครื่องบิน เรื่องของธุรกิจสายการบินตั้งแต่เด็ก

เป๋าเห็นคุณพ่อบริหารคนด้วยความจริงใจ ท่านจะไม่ใช่นายที่เป็นแบบเจ้านายลูกน้อง ไม่ว่าใครมีปัญหาอะไรท่านก็จะช่วย จะฟัง และจะพยายามเข้าใจลูกน้องให้มากที่สุด ซึ่งเป๋าก็ได้มาจากคุณพ่อคือการเอาใจเขามาใส่ใจเรา พยายามมองว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่เราก็จะอยู่ตรงกลาง

ทุกวันนี้เราก็มุ่งมั่นที่จะเป็นสายการบินที่มีคุณธรรม อยากบริหารการทำงานให้อยู่บนพื้นฐานของการทำงานที่ดี ไม่ใช่การที่ไปเอาเปรียบใครก็ตาม ทุกวันนี้ก็อยากทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ และอยากจะเป็นสายการบินที่ดีที่สุด ในแง่ของคุณธรรม และจริยธรรม”

เริ่มทำงานจากระดับล่าง

พอเป๋าเรียนจบปริญญาตรี คุณพ่อก็ให้เข้ามาทำงานที่สายการบินเลย ด้วยการสอนแบบทางอ้อม โดยให้เริ่มต้นจากล่างสุด แล้วค่อยขึ้นเป็นระดับผู้บริหาร ให้เริ่มเรียนรู้การทำงานโดยให้เริ่มตั้งแต่ระดับล่าง แล้วค่อยขึ้นเป็นระดับผู้บริหาร

“เริ่มต้นจากศูนย์จริงๆ เพราะคุณพ่อให้เริ่มทำงานจากข้างล่างสุดเลย เหมือนทิ้งเราลงในน้ำ แล้วให้หัดว่ายน้ำเอง ซึ่งการที่คุณพ่อให้เราเข้าไปทำตั้งแต่ในเรื่องของเช็กอิน เรื่องของภาคพื้นดินทั้งหมดเป็นวิธีที่ทำให้เราได้เปรียบ เพราะว่าการที่เราเริ่มจากข้างล่าง ทำให้เราเห็นทุกจุดทุกมุม เพราะว่าการที่เราจะเข้ามาบริหารคนเนี่ย เราต้องรู้ทุกระดับ ต้องเข้าใจพนักงานทุกระดับ ไม่ใช่แค่ว่าเราขึ้นมาระดับสูงและคุมแต่ระดับสูง”

กดดันจนท้อ

พอทำงานไปได้สักระยะหนึ่ง จึงตัดสินใจไปเรียนต่อที่ปริญญาโทอี-คอมเมิร์ซ มหาวิทยาลัยวอร์วิคก์ และธุรกิจการบิน มหาวิทยาลัยเครนเฟิลด์ ที่ประเทศอังกฤษ แล้วกลับมาทำงานต่อ แต่ด้วยความที่อายุ และประสบการณ์ยังน้อย จึงทำให้โดนกดดันจากคนรอบข้างจนถึงกับทำให้เธอท้อเลยทีเดียว แต่เพราะกำลังใจจากคุณพ่อ ทำให้ฮึดสู้ต่อจนถึงทุกวันนี้

“อย่างตอนแรกที่เข้าไปทำมันก็โดนกดดันจากพนักงานรุ่นเก่า ตอนนั้นเราก็เครียดว่าทำไมเขาทำกับเราแบบนี้ แต่ก็ยังดีที่คุณพ่อคุณแม่ให้กำลังใจ คือวันนั้นที่เรายังเด็กเราอาจจะมองว่าปัญหาเป็นเรื่องใหญ่ แต่ว่าพอผ่านไป 5- 10 ปี พอเรากลับไปมอง เราจะคิดว่านั่นเป็นปัญหาเล็กน้อย เพราะว่าในอนาคตเราจะต้องเจอกับปัญหาที่เยอะ ที่ใหญ่กว่านั้น

หลังจากนั้นก็เลยดั้นด้น ทำจากไม่รู้อะไร เพิ่งเรียนจบมา แล้วคุณพ่อก็ให้ทำตั้งแต่เซตอัป แผนกลูกเรือ ไม่รู้ก็ทำไป จนเที่ยงคืนตีหนึ่งก็ทำ ไปเปิดไฟลต์ตอนตี 5 ก็ไป คือเราก็อยากรู้ถึงแก่นมันว่าแต่ละหน่วยงาน แต่ละหน้าที่เขาเริ่มทำงานกันอย่างไร เพราะเรารู้ว่าวันหนึ่งเราต้องขึ้นมาบริหารคน ถ้าเราไม่รู้ว่าเขาทำอะไรอยู่ มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้เขามาเข้าใจ ถ้าเราไม่เข้าใจเขาก่อน”

โรคเครียดถามหา

ด้วยความที่ทำงานเยอะมาตลอด และไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย จึงทำให้เธอไม่สบายบ่อยเพราะเป็นโรคเครียด

“ช่วงวัยรุ่น เป๋าทำงานเยอะ แล้วช่วงนั้นไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย เครียดด้วย ทำงานหนักด้วย แล้วมันสะสม พอตอนนี้เวลาเราเครียดก็จะมีไม่สบายบ่อย ก็เลยต้องมาดูแลในเรื่องของอาหารการกิน ค่อนข้างเยอะ ทุกวันนี้ก็ต้องบังคับตัวเองให้ออกกำลังกาย พยายามกินเจให้ได้อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ร่างกายจะได้ดีท็อกซ์บ้าง

ถ้าอยู่กรุงเทพฯ ก็จะพักผ่อนด้วยการว่ายน้ำ ดูหนัง ไปเดินเล่น ไปไหนมากไม่ค่อยได้ ก็พยายามจะออกกำลังกายเยอะๆ เล่นโยคะ ตีกอล์ฟบ้าง ชอบอ่านหนังสือก่อนนอนอยู่แล้ว ไม่งั้นนอนไม่หลับ ชอบอ่านหนังสือธรรมะที่เขียนสนุกๆ
เป๋าเป็นคนเครียดง่าย และชอบคิดฟุ้งซ่าน แต่เดี๋ยวนี้คิดแล้วต้องจบ เพราะว่าไปอ่านหนังสือมาเขาบอกว่า ตัวเราคิดได้ แต่ต้องคิดเป็นคือมีสติ เวลาที่อ่านหนังสือก็จะมาปรับใช้กับตัวเรา”

ปรับใช้ธรรมะกับตัวเอง

ตอนเป็นวัยรุ่นเป๋ามักจะหาทางออกด้วยการไปเที่ยวกับเพื่อน ดูหนัง พอโตขึ้นแล้วได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น ก็เริ่มคิดว่าอะไรคือทางออกที่ดี ด้วยความที่เธอชอบเข้าวัด ชอบทำบุญอยู่แล้ว พอได้อ่านหนังธรรมะ เธอก็ศึกษาและนำมาปรับมาใช้ และทำให้เธอมองโลกอย่างเข้าใจมากขึ้น

“ชอบอ่านหนังสือ Secret อ่านแล้วชอบมาก คือเขาจะเสนอวิธีปรับใช้ธรรมะในแบบที่ไม่ยาก หรือลึกซึ้งจนเกินไป ซึ่งพออ่านแล้วเนี่ย ก็นำมาปรับใช้กับตัวเรา ก็จะพยายามอ่านอะไรที่มาฟื้นฟูจิตใจ อย่างวันหนึ่งเราขับรถเราด่าคน แต่เรากลับบ้านนั่งนิ่งๆ แป๊บหนึ่งอ่านหนังสือพวกนี้ มันก็ทำให้จิตใจเราสะอาดขึ้น

แต่ก่อนเป็นคนอารมณ์ร้อน ฉุนเฉียว แต่เดี๋ยวนี้ก็ใจเย็นขึ้น และเข้าใจคนมากขึ้น แต่ก่อนเราเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่ตอนนี้เราเอาตัวเองถอยหลังแล้วมองคนอื่นให้กว้างขึ้น”

ทำขนมเป็นงานอดิเรก

ด้วยความที่ชอบทำขนม แล้วรู้สึกว่าทำไม่อร่อยสักที เธอจึงตัดสินใจไปเรียนทำขนมที่สถาบันสอนทำอาหารชื่อดังอย่าง เลอ กอร์ดอง เบลอ เพราะคิดว่าจะทำให้ชีวิตเธอมีอะไรทำที่สนุกขึ้น แต่กลายเป็นว่าเธอต้องเครียดกว่าเดิม เพราะเป็นสถาบันที่สอนมืออาชีพ

“จริงๆ ชอบทำขนม แต่รู้สึกว่าทำไมทำแล้วไม่อร่อยสักที ก็เลยไปเรียน แต่ปรากฏว่าไปเรียนแล้วยิ่งเครียด เพราะว่าเรียนหนักมาก คือตอนแรกเข้าใจว่าไปเรียนแล้วมันจะสนุก แต่เราไปเรียนแบบประกอบวิชาอาชีพ ที่กอร์ดอง เบลอ แล้วมันเรียนเครียดมาก เพราะว่าคนที่มาเรียนเพื่อจบไปเปิดร้าน ไปเป็นเชฟ แต่เราเรียนเอาสนุกก็เลยเหนื่อย เรียนคอร์สเบสิก 3 เดือน ใกล้จบแล้ว แต่คงยังไม่เรียนต่อขอพักก่อน อยากทำขนมเป็นงานอดิเรกมากกว่า”

อยากเป็นครูอาสา

การได้เป็นครูอาสาแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ลำบาก และเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยทำมาก่อน แต่นั่นเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอเปลี่ยนทัศนคติในการมอง และการใช้ชีวิตของเธอ

“เหมือนอารมณ์ตอนนั้นทำงานหนักแล้วเหนื่อย ก็เลยเสิร์ชหาว่ามีอาสาสมัครที่ไหนบ้าง ก็ไปเจอเว็บไซต์ครูบ้านนอก เขารับสมัครครูอาสาสอนเด็กที่จังหวัดเชียงราย ประมาณ 3-4 วัน ก็เลยตัดสินลองไปดู เพื่อนๆ ก็จะทักว่า เราไปอยู่ได้เหรอ ไม่มีใครเชื่อว่าเราไปได้

พอเราไปถึงเขาก็จะให้ไปสอนเด็ก และให้อยู่กับชาวบ้านเลยกินข้าวกับเขา แล้วเป็นชาวดอย ห่างจากเชียงรายเพียงแค่ 10-20 กิโลเมตร แต่เหมือนอยู่คนละโลก เพราะว่าบ้านเขายังเป็นแคร่อยู่เลย อากาศก็บริสุทธิ์มาก น้ำก็ไหลมาจากเขา สีจะออกเหลืองๆ ตอนแรกก็กลัวว่าหน้าจะเป็นผื่น แต่พอใช้แล้วหน้าใสปิ๊ง น้ำกินก็เหลืองๆ อาหารก็เก็บเอาตามเขา ตามดอย แล้วเด็กติดเราก็เลยรู้สึกว่าดีจัง อยากกลับสอนไปอีก”

เป๋าเล่าว่า การไปเป็นครูอาสาในครั้งนั้นถือเป็นการเปิดโลกใหม่ของเธอเลย เพราะแต่ก่อนไม่เคยพอใจในสิ่งที่มีอยู่ แต่พอได้ไปเห็นชาวบ้านกับเด็กๆ เห็นเขามีความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จึงทำให้เธอกลับมาคิดว่า ในเมื่อสิ่งที่เธอมีครบทุกอย่างทำไมยังไม่มีความสุข

มีสุขด้วยการใช้ชีวิตสโลว์

จากเมื่อก่อนที่เคยคิดว่าจังหวัดเชียงใหม่เป็นจังหวัดที่ไม่มีอะไร แต่พอเริ่มอ่านหนังสือธรรมะ และได้ไปทำกิจกรรมที่ต่างจังหวัดบ่อยครั้ง ก็ทำให้เธอเริ่มรู้สึกว่าจังหวัดที่ไม่มีอะไรนี่ล่ะเหมาะกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของเธอมากที่สุด

“ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้ไปเชียงใหม่ เพราะคิดว่าไม่มีอะไรเลย แต่ 2-3 ปีหลังมานี้ เริ่มเข้าสู่ธรรมะ ก็เป็นไปตามวัย คือเริ่มหาอะไรมายึดเหนี่ยวจิตใจ ตอนนี้ชอบจังหวัดเชียงใหม่กับเชียงรายมากที่สุด เพราะว่ารู้สึกว่าเขาใช้ชีวิตแบบสโลว์

ในหนึ่งปีได้ไปใช้ชีวิตแบบสโลว์ 10 วัน มีความสุขมาก และค่าใช้จ่ายก็ไม่แพง ถูกกว่ากรุงเทพฯ ครึ่งหนึ่ง แล้วก็ได้อากาศดี ตอนนี้ก็ไม่ได้อยากได้อะไร เป็นไปตามวัยมากเลย ยังคิดเลยว่าแก่แล้วจะไปอยู่ดอย ตอนนี้ก็ช่วยคุณพ่อให้เต็มที่ที่สุด”

ภาพโดย ธนารักษ์ คุณทน
รายงานข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTVสุดสัปดาห์

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 9 กรกฎาคม 2553 23:52 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ภาพจากละครวิวาห์ว้าวุ่น
ภาพจากละครมงกุฎแสงจันทร์
เป็นที่ปรึกษาด้านโฆษณาและประชาสัมพันธ์บริษัทไอ
ทำธุรกิจกระเป๋าแบรนด์ Savitree
เวลาว่างก็จะเข้าโบสถ์
ภาพจากรายการ Mission life change
ช่วยหาบ้านใหม่ให้ยายวัย 77 ปี
ช่วยเหลือเด็กที่เป็นโรคอ้วน
อิ่มบุญและอิ่มใจ
หากจะใช้คำว่าชีวิตจริงยิ่งกว่าในละครก็ไม่ผิดนัก เมื่อได้คุยกับพิธีกรและนักแสดงมากความสามารถคนนี้ต่อง-สาวิตรี สามิภักดิ์ ด้วยความสวยบวกกับความสามารถที่โดดเด่น จึงทำให้เธอมีผลงานออกมาให้แฟนๆ ได้ติดตามชมกันอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าเธอจะแสดงเป็นเจ้าหญิงหรือแม่ค้าก็ทำให้คนดูอินได้ทุกบท อย่างตอนนี้หลายคนอาจจะยังติดกับภาพเธอในบทคุณหญิงที่มีบุคลิกน่ารักๆ และประโยคฮิตติดหูอย่าง “ดิชั้นไม่ไหวแล้วนะคะ” ในละครวิวาห์ว้าวุ่น ที่เพิ่งลาจอไป

แม้ว่าอยู่หน้าจอเธอจะเป็นผู้ให้ความบันเทิงแก่ผู้ชม แต่ชีวิตจริงของเธอนั้นผ่านประสบการณ์ชีวิตมาหลากหลายรูปแบบ เธอเคยพบกับความยากจน ความสูญเสีย จนกระทั่งได้รับโอกาสที่ดีได้ก้าวมาสู่วงการการแสดง แต่ทั้งหมดเป็นบททดสอบของชีวิตที่ทำให้เธอเป็นคนที่เข้มแข็ง อดทน และสู้ชีวิต อย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอจะทำได้

สวมหมวกหลายใบ

ในวันนี้ของสาวิตรีนอกจากเป็นพิธีกรและนักแสดงแล้ว เธอยังเป็นที่ปรึกษาทางด้านโฆษณาและเป็นบก.หนังสือ แถมยังทำธุรกิจกระเป๋า ซึ่งเป็นแบรนด์ของตัวเอง เป็นผู้หญิงที่มีพลังในการทำงานอย่างเหลือเฟือจริงๆ

“เป็นที่ปรึกษาทางด้านโฆษณาและประชาสัมพันธ์บริษัทไอ.ซี.ซี. ทำมา4ปีแล้ว แต่ไม่ค่อยมีใครทราบ ก็จะมีประชุมอย่างน้อยอาทิตย์ละ1-2วัน แล้วตอนนี้มีงานใหม่เป็นบก.หนังสือ มีเพื่อนที่เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์คลังหนังสือไพลิน เขาก็ชวนให้มาทำหนังสือ ล่าสุดก็ทำกระเป๋าซึ่งเป็นแบรนด์ชื่อ Savitree เลย

ด้วยความที่เป็นคนไฮเปอร์ แอ็กทีฟด้วย ก็จะเป็นคนที่ทำอะไรเร็ว ตัดสินใจอะไรเร็ว และอยู่ที่การบริหารจัดการ ถ้าเรารู้จักใช้เทคโนโลยี มันจะทำให้เราทำงานได้เยอะ คือเทคโนโลยีเราไม่ต้องไปติดมัน แต่นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ สามารถทำธุรกรรมกับแบงก์ทางโทรศัพท์ได้ ทำงานทางอีเมล ทางโทรศัพท์ได้”

ทุกวันทำเต็มร้อย

อาจจะเป็นเพราะเคยผ่านความจนและความลำบากมาก่อน จึงทำให้ผู้หญิงคนนี้มีความอดทน และมีใจสู้มากกว่าคนอื่น ทุกวันนี้ไม่ว่าจะทำงานอะไรเธอทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ ด้วยความคิดที่ว่าไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ถ้าไม่ได้ลองทำ

“ทั้งชีวิตไม่เคยได้อะไรมาง่ายๆ เลย ตั้งแต่เด็กแล้ว เคยจน เคยลำบาก ตั้งปณิธานไว้ตั้งแต่เด็กแล้วว่าจะไม่กลับไปจนอีก แต่ก็ไม่ได้อยากรวยล้นฟ้า อยากทำงานสุจริตอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่เรามีแรงทำอยู่ไม่เคยคิดว่าเราทำอะไรไม่ได้ถ้ายังไม่ได้ลอง และไม่มีอะไรเหนือความพยายาม เชื่อว่าถ้าเรามุ่งมั่น มีความพยายาม วันนี้เราทำได้แค่นี้ ตอบตัวเองได้เลยว่าทำเต็มร้อยทุกวัน แต่ไม่ได้หมายความว่าพรุ่งนี้จะไม่ดีขึ้นกว่านี้ เคยท้อนะแต่ไม่เคยถอย”

นักแสดงมากฝีมือ

ตั้งแต่ได้มีโอกาสเข้าสู่บันเทิงก็ทำให้เธอมีฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้น จนถึงวันนี้เธอโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมาเกือบ 30 ปีแล้ว แต่เธอออกตัวว่าไม่ใช่คนเก่งอะไร เพียงใช้ความเข้าใจ และเต็มที่กับงานที่เธอรัก

“เต็มที่กับงานทุกงาน การแสดงเราเต็มที่ในส่วนของเราและเคารพคนมองภาพรวมคือผู้กำกับ พอเราเข้าใจบทแล้ว ผู้กำกับบอกอะไรเรามันเหมือนเบิร์ด อาย วิว เขาจะมองได้ต่างจากเรา ก็ทำตามที่เขาบอก ไม่เคยคิดว่าเราเก่งนะ แต่ทำในสิ่งที่เข้าใจและผู้กำกับต้องการ เวลาแสดงก็ต้องรู้สึกว่าเราเป็นตัวนั้นจริงๆ

โชคดี หน้าเหมือนฝรั่งแต่เล่นเป็นแม่ปุย คนก็ลืมความที่เราหน้าไม่เหมือนคนไทยไปเลยนะ คนรับได้ คนชอบ พอเปลี่ยนไปเล่นบทอะไร คนก็เชื่อ เล่นเป็นอาซิ่มคนก็รับได้ ทำให้ได้เล่นบทหลากหลาย”

ลูกคนกลางที่พ่อแม่ไม่รัก

ด้วยความที่เป็นลูกคนกลาง และเป็นเด็กหน้าตาน่ารัก จึงทำให้ถูกเลี้ยงดูมาแบบค่อนข้างเข้มงวด ทำให้เธอคิดมาตลอดว่าพ่อแม่ไม่รัก และกว่าจะได้ยินคำว่ารักจากแม่ก็เป็นช่วงเวลาก่อนแม่จะจากไปแค่สองวัน

“คิดมาตลอดชีวิตว่าพ่อแม่ไม่รัก เพิ่งมารู้ก่อนแม่เสียสองวันว่าที่เขาอบรมเลี้ยงดูเราแบบนั้น เพราะว่าเราน่ารัก กลัวคนอุ้มไป มันก็เลยกลายว่าเราเป็นเด็กมีปัญหา คิดมาก แต่จริงๆ แล้ว เป็นเพราะเขาห่วงเราต่างหาก ไม่เคยถูกชมว่าน่ารักหรือสวย เวลาเข้าไปกอด แม่ก็ชอบผลัก ด้วยความที่เขาเป็นแม่ค้า เขาก็จะไม่ค่อยพูด

ก่อนแม่เสียสองวัน ก็เข้าไปกอดแม่แล้วถามแม่ว่า คิดถึงติ๊งต่องไหม ตั้งแต่เด็กจนโต แม่ไม่เคยพูดว่าคิดถึง วันนั้นแม่บอกว่าคิดถึง รออยู่ ทำไมมาช้าจัง เราน้ำตาจะไหลแต่ไหลไม่ได้ ก้มหน้าอยู่ตรงเข่าแม่ แล้วก็ถามว่ารักติ๊งต่องไหม เขาไม่เคยบอกรักเราเลย แต่เขาบอกว่ารักสิ รักมาก มันเหมือนสิ่งที่เรารอคอยมานานมาก พอถึงตรงนี้เราถึงเข้าใจ ว่าบางคนวิธีการเลี้ยงดูไม่เหมือนกัน”

เสียใจที่สุดในชีวิต

เมื่อถึงเวลาที่แม่ของเธอจะจากไป แม้จะไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่เธอก็ท่องพุทโธตลอด เพื่อหวังให้แม่ไปอย่างสบายที่สุด

“ช่วงที่แม่ป่วยร้องไห้ทุกวัน เล่นละครตลก แต่ไม่มีใครรู้ เพราะเวลาร้องไห้ ก็ไม่มีใครเห็น เจอใครเราก็ยิ้ม มันก็ต้องตัดไปทีละอย่างว่าเรื่องเสียใจในชีวิตมันก็คือเรื่องหนึ่ง ทำงานเราก็เต็มที่กับงาน แล้ววันที่แม่จากไป หมอบอกเหลือเวลาเดือนครึ่ง แล้วมันไปเร็วกว่านั้น มันช็อก ขณะที่ช็อกสติแตก แต่ ณ ตอนนั้นเขาบอกว่าห้ามน้ำตาไหลใส่ศพแม่ กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลเลย กลัวไปถูกศพแม่ กลัวแม่เห็น

มีคนบอกให้พูดพุทโธ ถือดอกบัว ไปหาพระจุฬามณี มองเห็นแม่ที่มีเครื่องช่วยหายใจ ครอบปาก อ้าปากพูดพุทโธ น้องชายไม่ได้เป็นพุทธก็เปิดหนังสือสวดมนต์ ชั่วโมงที่พูดพุทโธไปหาพระจุฬามณี น่าจะเป็นพัน เป็นหมื่นครั้ง

คำว่าใจจะขาดมันน้อยไป แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมวันนั้นถึงมีสติมากขนาดนั้น คือรู้อย่างเดียวว่าต้องส่งแม่ไปให้ดีที่สุด แม่เป็นใครไม่รู้ แต่เป็นคนสำคัญมากสำหรับเรา เป็นคนพิเศษ แม่เรานี่แหล่ะเป็นคนหล่อหลอมให้เราเป็นคนเข้มแข็ง และอดทน ทำให้สิ่งที่เรามีมากกว่าคนอื่น และต้นแบบของเราก็คือพ่อกับแม่”

‘ภารกิจ’ อุทิศเพื่อแม่

แม้ว่าเธอจะนับถือศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก แต่เธอก็คิดวิธีที่จะทำบุญให้กับแม่ที่จากไป โดยการทำรายการ Mission life change ทาง S Channel เพื่อช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสในสังคมขึ้นมา

“จุดประสงค์แรกเลยที่ทำรายการคือ อยากทำบุญให้แม่ที่เสียไป และเคยคิดเอาไว้นานแล้วว่าเมื่อเรามีโอกาสเราก็อยากให้โอกาสคน เพราะว่าคน 60 ล้านกว่าคน มีคนจนเยอะ อยากจะให้โอกาสคนอื่นเหมือนที่เราเคยได้

เนื่องจากว่างบมันน้อย เพราะเป็นเคเบิ้ลท้องถิ่น ก็เลยหาทีมงานลำบากคนแรกที่ได้มาเป็นน้องที่เคยทำรายการบ้านเลขที่ 5 เขาก็มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ เพราะว่าเขาเห็นดีด้วย มีจิตกุศล แล้วเขาก็คิดว่าทำเพื่อช่วยคน แล้วก็พาทีมงานมาเสนอ ตอนนี้ก็มีทีมงานทั้งหมดแค่ 5 คน มีโปรดิวเซอร์ ครีเอทีฟที่เป็นตากล้องด้วย ใช้กล้องเล็ก มีตากล้องอีกคน เพราะต้องใช้สองกล้อง มีประสานงาน”

เหนื่อยแค่ไหนก็ยิ้มได้

เนื่องจากว่าเป็นรายการที่อยู่ในช่องเคเบิ้ลท้องถิ่น ทำให้มีงบจำกัด และเธอก็ต้องดูแลเกือบทุกขั้นตอน แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ทั้งแรงกาย แรงใจในแต่ละเคส

“ทำรายการนี้บอกได้เลยว่ามันเหนื่อยมาก เหนื่อยกว่าเล่นละคร เหนื่อยกว่าอะไรทั้งหลายในชีวิตที่เคยทำมา แต่กลับบ้านแล้วชื่นใจ เมื่อเคสหนึ่งสำเร็จแล้วมันอิ่มใจ พอเริ่มทำตรงนี้มันเหมือนไม่ใช่แค่เพื่อแม่แล้วไง เราเคยเป็นเด็กจนมาก่อน และเรามีโอกาสดี ที่ได้มาอยู่วงการนี้แล้วอยู่ได้นานด้วย มันทำให้เรามีทุกอย่างในชีวิตเลย

เวลาอัดรายการเปิดพัดลมก็ไม่ได้ เดี๋ยวเสียงเข้า ซับหน้าก็ไม่ได้ เหนื่อยมาก ร้อนมาก เวลาถ่ายรูปมีคนถามทำไมยังยิ้มได้ มีใครอยากเห็นเราไม่ยิ้มไหมล่ะ เพราะฉะนั้นเหนื่อยแค่ไหนก็ยิ้ม เพราะเราคิดว่ายิ้มเราทำให้คนมีความสุขเราก็ดีใจ มีคนบอกเห็นรอยยิ้มเราแล้วมีความสุขก็รู้สึกดี”

อยากให้คนในสังคมช่วยเหลือกัน

ถึงแม้รายการที่เธอทำจะไม่สามารถช่วยคนจนได้ทุกราย แต่เธอก็หวังว่าเมื่อช่วยรายหนึ่ง ก็จะมีคนเห็น และอยากช่วยเหลือ เป็นการจุดประกายให้คนในสังคมหันมาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

“คอนเซ็ปต์ของรายการคือต้องเปลี่ยนชีวิตจริงๆ จากคนที่ไม่มีโอกาส ไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้แล้ว เขาต้องลืมตาอ้าปากได้ แล้วต้องดีด้วย พอเราไปเจอเขา ก็มานั่งคุยกันว่าจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง อันดับแรกเลยคือเราควรจะหาที่อยู่ที่ยั่งยืนให้เขา และก็ช่วยให้เขามีอาชีพที่หาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ จากที่ไปมาหลายที่ก็ได้รับความร่วมมือและความช่วยเหลือตลอดทั้งจากคนในหมู่บ้าน ปลัดอำเภอ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน

ภาพที่เราไปเห็นวันแรก เหมือนคนจะจมน้ำตายอยู่แล้ว แต่พอวันที่เราไปเปลี่ยนชีวิตเขา จะเห็นเลยว่าหน้าเขามีความสุข แล้วคนที่อิ่มใจก็คือเรา และเราเชื่อว่าคนที่ได้ดูก็จะอิ่มใจไปด้วย บางทีอยากให้คนดูแล้วมีกำลังใจ ว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกนี้ ตราบใดที่คุณมีความพยายาม วันหนึ่งต้องเป็นของคุณ”

รายงานข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTVสุดสัปดาห์

ขอบคุณภาพจาก Facebook

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 2 กรกฎาคม 2553 23:59 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
โจ-มณฑานี ตันติสุข
นับถอยหลังเพียงไม่กี่วันเทศกาลฟุตบอลโลก 2010 ก็กำลังจะปิดฉากลง แต่กระแสการคลั่งบอลของหนุ่มๆ จนมากเกินความพอดี ก็เป็นส่วนที่ทำให้กระทบความสัมพันธ์กับคนรอบข้างโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนใกล้ตัว ที่อาจเปลี่ยนจากคนคุ้นเคยกลายเป็นคนห่างเหิน และเกิดเป็นความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง
แต่ปัญหาที่น่ากลัวที่สุดคือปัญหาการติดพนันบอลจนเป็นหนี้เป็นสิน และยิ่งสมัยนี้สามารถเล่นพนันได้ง่ายทั้งจากเว็บไซต์และทางมือถือ ซึ่งแต่ละครั้งเสียเงินเป็นหลักพันหลักหมื่น สำหรับวิธีการจัดการปัญหาด้วยอารมณ์โดยการใช้ความโกรธ ความโมโหนั้น จะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ยิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ลุกขึ้นมาจัดการปัญหาอย่างจริงจัง ปัญหาก็จะยังคงอยู่อย่างนั้น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ

วันนี้ M-Lite ได้คุยกับสาวเสียงหวานโจ-มณฑานี ตันติสุข อดีตนักจัดรายการวิทยุชื่อดัง ซึ่งหลังจากผ่านประสบการณ์ความสัมพันธ์ที่ล้มเหลว เธอตั้งใจศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง จนกระทั่งผันตัวเองมาเป็นนักเขียนที่ได้รับความนิยมและถูกรับเชิญให้เป็นวิทยากรอยู่เสมอ เธอมีคำแนะนำที่จะช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณและเขาดีขึ้นและยั่งยืนอย่างแท้จริง

“ถ้ารู้จักคำว่าพอดีปัญหาก็จะไม่เกิด โดยเฉพาะผู้ชายที่ติดพนันบอล ยังไงก็มีแต่จะล่มจม เพราะมีแต่เสียกับเสีย ไม่ควรคบซะเลยจะดีกว่า ส่วนพวกที่ติดดูบอล เตะบอล แบบชอบลากผู้หญิงไปขอบสนามก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็คือ ผู้ชายที่ชอบเล่นกีฬาดีกว่าผู้ชายที่ชอบไปเที่ยว หรือไปติดผู้หญิง แถมยังดูเป็นสปอร์ตแมน สุขภาพแข็งแรง ข้อเสียก็ตรงที่บางทีผู้ชายก็เพลิดเพลินกับการดูบอลจนลืมโทรหา บางทีนัดกันก็ลืม ก็ทำให้ผู้หญิงน้อยใจได้ อยากให้ช่วยแบ่งเวลาให้พอดีๆ บ้าง”

ปัญหาซ้ำซากที่เกิดขึ้นระหว่างชายหญิงคือการที่ต่างฝ่ายไม่ยอมเข้าใจ และไม่ยอมคิดแก้ปัญหาอย่างจริงจัง “จากประสบการณ์ที่ได้คุยกับหลายๆ คน เรามองเห็นรูปแบบที่ซ้ำกัน คือการไม่ยอมเข้าใจปัญหา มีแต่คนพูดว่าฉันมีปัญหา แต่ไม่ยอมตั้งสติ นั่งลงแล้วมองปัญหาของตนเองอย่างจริงจัง ไม่ว่าเป็นเรื่องอะไร เรามักไม่ยอมตั้งสติแล้วมองว่าเรามีปัญหาเรื่องอะไร มันจะเป็นแต่วุ่นวาย ว่าทำยังไงเขาจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ พุ่งเป้าไปที่การแก้ปัญหาแฟน”

สำหรับวิธีแก้ปัญหาที่ได้ผลที่สุดคือความเข้าใจ ควรใช้วิธีการที่นุ่มนวลในการค่อยๆ ทำความเข้าใจ และมีความอดทนในการแก้ปัญหา ไม่จำเป็นต้องปรับตัวเข้าหาเขา แต่ควรเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส

“เมื่อรู้ว่าเขามีความสุขกับการดูบอล เราก็ต้องหาวิธีเอาใจเขา จู่โจมที่หัวใจทำให้เขาอยากอยู่ที่บ้านมากกว่าออกไปข้างนอก ปรนนิบัติเขาด้วยการเอาใจใส่ ทำกับข้าวอร่อยๆ ให้เขา เพราะว่าผู้ชายชอบกินอยู่แล้ว และผู้ชายชอบเชียร์อยู่ในที่ที่มีคนเยอะๆ

ถ้าเขาอยากออกไปดูกับเพื่อนข้างนอก เราก็ต้องใจกว้างโดยให้เขาชวนเพื่อนมาที่บ้าน ทำให้บ้านเราเป็นแหล่งดูบอล เป็นปาร์ตี้ของครอบครัว อย่างน้อยเขาก็อยู่ในสายตาเรา แถมเรายังได้รู้จักนิสัยของเพื่อนๆ เขาอีกด้วย จะเล่นพนันบอลก็เกรงใจเรา ไม่กล้าเล่น ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงที่เขากำลังสนใจอย่างอื่นมากกว่า แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงความใส่ใจที่คุณตั้งใจทำให้เขา”

การที่จะสร้างความสัมพันธ์ให้ยั่งยืนและมีความสุขอย่างแท้จริงนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก ความเข้าใจเป็นเรื่องสำคัญที่สุด อย่างการใช้หลักคำสอนของศาสนา เช่นการให้อภัย การรับฟัง การให้เกียรติ และการเคารพซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านี้ก็สามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตคู่ได้เป็นอย่างดี

“ถ้าการดูบอลเป็นเรื่องที่ผู้ชายชอบ เราก็ต้องยอมให้เวลาเขา คิดซะว่านานๆ ทีจะมีสักครั้ง แค่ 30 วัน ปล่อยเขาให้ได้สนุกสนานกับช่วงเวลาที่เขาเฝ้ารอมานาน

บางครั้งการที่เราจะนั่งดูบอลเป็นเพื่อนเขาบ้างก็เป็นการดี แต่ถ้าไม่ชอบดูบอลขนาดนั้นก็ไม่ควรฝืนตัวเองด้วยการดูด้วยทุกแมตช์เพื่อเป็นการเอาใจเขา เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้ความสัมพันธ์เป็นไปอย่างยั่งยืนแล้ว ยังทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นฝ่ายปรับตัวอยู่ฝ่ายเดียว อาจจะทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงไปอีก”

สุดท้ายทั้งสองฝ่ายต่างต้องยอมที่จะเข้าหากันคนละครึ่งทาง ผู้หญิงก็ย่อมต้องการการดูแล ส่วนผู้ชายก็ต้องการการเอาใจใส่ ลองปรับเปลี่ยนทัศนคติ และมองเห็นความดีของกันและกันมากกว่าเห็นแต่ความต้องการของตนเอง ความสัมพันธ์ก็จะยั่งยืนและมีสุขอย่างแท้จริง

รายงานโดย ทีมข่าว M-Lite/ASTVสุดสัปดาห์

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 25 มิถุนายน 2553 23:14 น.
เจ้าของร้านง่วนอยู่กับการทำอาหาร
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ตั้งใจกับการผัดอาหารบนกระทะร้อน
เมนูอร่อยหลายอย่างให้เลือกราคามิตรภาพ
ไก่คาราเกะกรอบนอกนุ่มใน เมนูสุดฮิตต้องลอง
ยากิโซบะ รสชาติอร่อยถึงเครื่อง ไม่ต้องปรุงเพิ่ม
ข้าวราดแกงกะหรี่ อร่อยเข้มข้น
สองหนุ่มเจ้าของร้าน
ดูแลความสะอาดอย่างดี
M-Lite ‘เมืองทองธานี’ เห็นชื่อนี้หลายคนย่อมนึงถึงมหานครขนาดย่อมที่มีร้านอาหารอร่อยๆ มากมาย แต่วันนี้เราไปสะดุดตากับร้านอาหารรูปแบบใหม่ที่ตั้งอยู่บริเวณริมถนนที่ชื่อว่าTora Teppanyaki ซึ่งออกแบบเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นเคลื่อนที่บนรถบรรทุกขนาดเล็ก บรรยากาศคล้ายๆ รถขายอาหารในประเทศญี่ปุ่น

ด้านบนหลังคารถมีโลโก้ร้านเป็นรูปเสือหน้าตาน่ารักตัวใหญ่กวักมือเรียกลูกค้า และตกแต่งด้วยธงญี่ปุ่นปลิวสไว รอบตัวรถประดับด้วยไฟสีส้ม ภายในรถดัดแปลงเป็นครัวกระทะร้อนขนาดย่อม ที่มีสองหนุ่มวุ่นวายผลัดกันทำอาหาร ผลัดกันเสิร์ฟสำหรับลูกค้าที่มากินที่ร้าน และลูกค้าที่มาซื้อกลับบ้านไม่ขาดช่วง

พอช่วงดึกหน่อยลูกค้าเริ่มบางตาลง เราจึงได้มีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้าของรถขายอาหารไอเดียเก๋ต่อ-ต่อพงษ์ เสถียรกานนท์ เขาเล่าถึงที่มาที่ไปในการเปิดร้านว่า ก่อนที่จะมาทำร้านนี้เคยทำงานเป็นอาร์ตไดเร็คเตอร์มาก่อน แต่ด้วยความที่ชอบอาหารและวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่นจึงได้คิดที่จะเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นขึ้นมา

“แนวคิดก็คืออยากทำร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีรูปแบบใหม่ และมีดีไซน์ ส่วนชื่อร้าน Tora ก็มาจากชื่อของเราทั้งคู่ คำว่าโทระในภาษาญี่ปุ่นแปลว่าเสือ ก็เลยออกแบบโลโก้ร้านเป็นรูปเสือ แต่ลูกค้าจะเรียกแมวมากกว่าเพราะว่ามันน่ารัก ส่วนTeppanyaki แปลว่ากระทะร้อน อาหารส่วนใหญ่ของเราก็จะผัดบนกระทะร้อน

ไอเดียนี้ได้มาจากรถขายอาหารของญี่ปุ่น ที่ญี่ปุ่นจะทำร้านอาหารลักษณะนี้เยอะเรียกว่ายาไซ เขานิยมที่จะนำรถมาดัดแปลงให้คนนั่งรอบๆ ข้างได้ เนื่องจากสามารถเก็บย้ายได้ง่าย แถมยังสะดวกสบาย เราก็ศึกษาว่าเขาทำยังไง หาข้อมูลจากทางอินเทอร์เน็ตและจากหนังสือ หาไอเดีย เก็บรายละเอียดมาก็เลยออกมาเป็นอย่างที่เห็น ที่สำคัญต้นทุนไม่สูงด้วย”

กว่าที่จะมาเปิดร้านอยู่ตรงนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ด้วยความชอบทำอาหารเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ต่อ-วรยศ วัฒนะรุ่งโรงจน์ (ต่อสอง) ถึงกับลงทุนไปเรียนทำอาหารที่โรงแรมแมริออทเลยทีเดียว หลังจากนั้นก็หาสูตรอาหารที่เป็นต้นตำรับของญี่ปุ่น แล้วก็มาลองผิดลองถูก ผสมผสานสูตรอยู่ประมาณ3ปี จนมั่นใจว่ารสชาติเป็นของตัวเองแล้วถึงมาเปิดร้าน

“สำหรับเมนูอาหารของที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารหลักของญี่ปุ่น อาทิ ยากิโซบะ, ไก่คาราเกะ, หมูผัดซอสขิงสไตล์ญี่ปุ่น, ข้าวราดแกงกระหรี่ และมิโซะซุปซึ่งแต่ละจานนั้นจะมีรสชาติเข้มข้นถึงเครื่อง และหอมขิง ส่วนผสมใช้ขิงเป็นส่วนใหญ่ก็เพื่อคงความเป็นเอกลักษณ์ของอาหารญี่ปุ่นดั้งเดิม ที่สำคัญขิงเป็นตัวยาที่ไม่ทำให้ท้องอืด ไล่ลม และช่วยเสริมให้มีกลิ่นหอมในรสชาติของอาหารด้วย”

ถึงจะเป็นร้านใหม่ที่เพิ่งเปิดได้เพียงแค่เดือนกว่า แต่กระแสตอบรับจากลูกค้าก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะติดใจในรสชาติความอร่อย และความสะอาด บางทีลูกค้าประจำที่รู้ว่าคิวเยอะก็จะโทรมาสั่งอาหารไว้ก่อน

“ที่ร้านจะเน้นเรื่องความสะอาดมาก ถึงแม้จะเป็นร้านข้างทาง เพราะถ้าอาหารไม่สะอาด ไม่อร่อยก็คงขายได้ไม่นาน รองลงมาคือการดีไซน์ การจัดวาง ที่เลือกทำเลตรงนี้เพราะว่าคุ้นเคยกับแถวนี้มาตั้งแต่เด็กๆ พอคิดจะทำร้านก็คิดถึงตรงนี้เป็นที่แรกเลย ที่นี่เป็นเหมือนมหานครเล็กๆ มีคนผ่านไปผ่านมาเยอะ”

สำหรับเมนูสุดฮอตต้องต่อคิวของที่นี่คือไก่คาราเกระ ที่ทางร้านใช้เนื้อไก่ชิ้นใหญ่ ทอดจนกรอบนอกนุ่มใน ความอร่อยอยู่ที่น้ำซอสทำเองที่มีส่วนผสมของซอสทงคัตสึ รสชาติจะออกเผ็ดนิดหนึ่งแต่อร่อยกลมกล่อม อีกเมนูอร่อยต้องลองคือยากิโซบะ เส้นเหนียวนุ่ม รสชาติเข้มข้นไม่ต้องปรุงเพิ่ม

“สูตรอาหารจะใช้สูตรหลักของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นใช้อะไร เราพูดได้เลยว่าเรากล้าใส่ซอสแบบเขา ใช้คิโคแมนเลย เราไม่ลดทอนสูตรเพื่อจะให้ต้นทุนต่ำ เราอยากให้คนที่มากินรู้ว่า เราไม่ต้องไปถึงภัตตาคาร คุณมากินตรงนี้ คุณจะได้กินอาหารที่เป็นญี่ปุ่นของแท้ เราไม่ใส่ผงชูรส หมูหมักวันต่อวัน มีการเพิ่มรสนิดหน่อยให้เป็นรสของคนไทย

ส่วนเรื่องราคานั้นเริ่มต้นที่มิโซะซุปถ้วยละ 15 บาท ส่วนเมนูอื่นก็ราคา 35-45 บาท ถือว่าราคาไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับความอร่อยและการใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ เรียกว่าไม่ลดทอนส่วนประกอบในการปรุงอาหาร เพื่อให้ได้อาหารญี่ปุ่นที่มีรสชาติและคุณภาพเหมือนต้นตำหรับจริงๆ”

ร้าน Tora Teppanyaki ตั้งอยู่บนถนนบอนด์สตรีท เข้าเมืองทองธานี ถนนแจ้งวัฒนะ เลยบึงมาหน่อยหนึ่งจะเห็นรถขายอาหารญี่ปุ่นสีขาวจอดอยู่ริมถนน อยู่ฝั่งเดียวกับร้าน The lake
เปิด-ปิดเวลา 18.00-23.00 น.
ราคาอาหารเริ่มต้นที่15-45 บาท

รายงานข่าวโดย ทีมข่าว m-lite/astv สุดสัปดาห์

ภาพโดย ธัชกร กิจไชยภณ

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 25 มิถุนายน 2553 23:14 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
M-Lite เคยเป็นขวัญใจสาวๆ ทั่วประเทศมาแล้วจากการแข่งขันรายการอัจฉริยะข้ามคืน ล้านที่ 35 ผศ.ดร.บุณยฤทธิ์ ปัญญาภิญโญผล หรือที่ลูกศิษย์ต่างเรียกว่าอาจารย์กอล์ฟ ปัจจุบันอาจารย์กอล์ฟเป็นอาจารย์ประจำหลักสูตรเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมภาควิชาวิศวกรรมสุขาภิบาล คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล สอนเกี่ยวกับวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม ให้กับนักศึกษาปริญญาตรี-โท และเอก แถมยังพ่วงท้ายอีกตำแหน่งคือเป็นผู้ช่วยคณบดี

วันนี้อาจารย์หนุ่มนัดคุยกับเราที่สนามไดร์ฟกอล์ฟกรีนฟิลด์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขามาซ้อมตีกอล์ฟเป็นประจำ ทุกวันนี้อาจารย์หนุ่มทำหน้าที่เป็นทั้งการเป็นอาจารย์และช่วยดูแลธุรกิจเครื่องกรองน้ำของที่บ้าน แถมยังเพิ่งเริ่มทำธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งที่เขาชอบมากแต่ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้ทำ นั่นคือการเป็นหุ้นส่วนและบริหารงานที่ไดร์ฟสนามกอล์ฟกรีนฟิลด์ย่านรามคำแหง ที่มีพื้นที่กว่า 30 ไร่ ที่เรานั่งคุยกันอยู่ตรงนี้

อาจารย์ที่หนุ่มที่สุดในคณะ

ด้วยวัยเพียง 28 ปี เขาก็ได้เป็นทั้งผู้ช่วยศาสตร์ตราจารย์และด็อกเตอร์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนหนุ่มจะได้รับ อาจารย์กอล์ฟได้รับทั้งสองตำแหน่งโดยใช้เวลาที่ค่อนข้างเร็วกว่าคนอื่น แต่เขาบอกว่าไม่ได้ใช้ทางลัดอะไร ประจวบเหมาะกับช่วงที่เรียนปริญญาเอกเขาทำงานไปด้วย จึงทำให้พอเรียนจบก็ได้ตำแหน่งทั้งสองควบกัน

“ช่วงระหว่างเรียนกับทำงานช่วงแรกมันเกี่ยวพันกัน ตอนทำปริญญาเอกก็ได้บรรจุตำแหน่งอาจารย์ด้วย คือทำสองอย่างพร้อมกัน ช่วงนั้นงานก็จะหนักหน่อยเพราะต้องสอนด้วย ต้องทำวิจัยด้วย แต่ก็เป็นข้อดี คือพอเราจบปริญญาเอกแล้ว ด้วยความที่เราทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยพอเอาเวลามาบวกกัน ก็เลยได้ตำแหน่งทางวิชาการคือเป็นผู้ช่วยศาสตร์ตราจารย์ค่อนข้างเร็ว ซึ่งปัจจุบันนี้ก็สอนมา 4 ปีแล้ว”

ขยันบวกอดทน

ความที่เป็นอาจารย์หนุ่มอายุน้อยในคณะ บางทีก็ทำให้มีคนนึกถึงเขามากหน่อย ช่วงแรกของการทำงานอาจารย์กอล์ฟงานหนักพอสมควร ช่วงนั้นไม่มืดไม่ได้กลับบ้านกันเลยทีเดียว แต่เขาก็ผ่านมาได้โดยยึดคำว่าขยันและอดทน

“ทุกวันนี้ก็เริ่มอยู่ตัว แต่ตอนที่ทำงานช่วงแรกๆ ต้องยอมรับว่าพอเป็นอาจารย์ใหม่ วิชาที่สอนก็ต้องเตรียมใหม่หมด บวกกับต้องทำงานพร้อมกับเรียนก็ค่อนข้างหนักตอนนั้นผมเป็นรุ่นเด็กสุดของคณะเลย ผู้ใหญ่ก็จะเรียกใช้งานมากหน่อย คนก็จะนึกถึงเยอะ (หัวเราะ) ช่วงแรกกลับบ้านดึกทุกวัน ไม่มืดไม่ได้กลับ วันธรรมดาทำงาน ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ ก็ต้องช่วยงานที่บ้านทำเครื่องกรองน้ำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็ต้องแบ่งเวลาให้เป็น”

เชี่ยวชาญด้านน้ำเป็นพิเศษ

เนื่องจากที่บ้านทำธุรกิจเครื่องกรองน้ำ ทำให้เขาซึมซับเรื่องเกี่ยวกับน้ำมาตั้งแต่เด็กๆ เขาจึงเลือกเรียนสาขานี้ โดยมีความคิดที่อยากเรียนอะไรที่เกี่ยวข้องกับงานที่บ้าน ซึ่งก็ทำให้เขาได้เรียนได้ดีและประสบความสำเร็จ

“ที่บ้านทำเครื่องกรองน้ำ เรื่องเกี่ยวกับน้ำดื่มน้ำใช้ก็เป็นงานเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว ซึ่งก็อาจจะมีส่วนที่ทำให้ผมสนใจเรื่องของน้ำ พอเรียนปริญญาตรีก็เลยเลือกคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ที่จุฬาฯ พอเรียนก็รู้สึกชอบเพราะว่ามันเป็นสิ่งใกล้ตัว ก็เลยเรียนไปเรื่อยๆ จนถึงปริญญาโท-เอก

งานวิจัยที่เคยทำเป็นเรื่องสารก่อมะเร็งในน้ำประปา ก็จะดูว่ามันมีเท่าไหร่ ก็จะเสาะหาวิธีบำบัดเพื่อลดปริมาณลง มีตั้งแต่การลดในกระบวนการผลิตน้ำประปา ว่าจะทำยังไงให้เกิดสารก่อมะเร็งน้อยที่สุด อีกงานก็คือบำบัด เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ทำยังไงให้เกิดน้อยลงก่อนที่ผู้บริโภคจะใช้”

น้ำประปาสะอาด…แต่ไม่อร่อย

น้ำประปาที่เราดื่มกันทุกนี้ส่วนใหญ่ต้องผ่านการกรองด้วยระบบต่างๆ อาจจะเป็นเพราะเหตุผลที่ว่าไม่กล้าดื่มจากก๊อกโดยตรง กลัวว่ามันสะอาดจริงเหรอ หรือทำไมมีกลิ่นคลอรีน

“จริงๆ แล้วน้ำประปาดื่มได้ครับ คุณภาพก็ผ่านมาตรฐานอยู่แล้ว หากอิงจากองค์การอนามัยโลก แต่เวลาเราดื่มน้ำประปาเลยเนี่ยมันก็จะมีกลิ่นคลอรีน ซึ่งเป็นความจำเป็นของบ้านเราที่ยังต้องใช้คลอรีนในการฆ่าเชื้อโรคอยู่ การใช้คลอรีนเองก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อเสียคือมีกลิ่น และอาจเกิดสารตกค้าง แต่สำหรับเมืองไทยซึ่งท่อประปาบางส่วนมีอายุการใช้งานมานาน การใช้คลอรีนถือว่ามีความเหมาะสมเพราะคลอรีนที่ค้างในเส้นท่อจะทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนเข้ามาในระบบท่อส่งได้ ถามว่าทำน้ำประปาให้มีคุณภาพดีกว่านี้ได้ไหม ทำได้ครับ

สำหรับเครื่องกรองน้ำก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้บริโภค ในเชิงวิชาการ อยากเตือนว่าถ้าคุณมีเครื่องกรองน้ำแล้ว คุณก็ต้องดูแลว่าสารกรองหมดอายุหรือยัง ก็ต้องมีการเปลี่ยนสารกรอง เปลี่ยนไส้กรองอยู่เสมอ”

กิจวัตรประจำวันคือ “ตีกอล์ฟ”

เป็นอาจารย์หนุ่มไฟแรงที่ทำงานเต็มที่ทั้ง 7 วัน เมื่อถามว่าจะเอาเวลาที่ไหนไปรีแลกซ์ อาจารย์กอล์ฟบอกว่าช่วงที่พอจะมีเวลาว่างคือช่วงเย็น ก็จะรีแลกซ์ด้วยการตีกอล์ฟ

“ตอนนี้กำลังมีความสุขกับการตีกอล์ฟครับ ช่วงที่มาดูสนามก็ซ้อมไปด้วย ถือว่าเป็นช่วงเวลาพักผ่อนประจำวันของเรา แต่ก่อนก็มาวนเวียนอยู่ที่สนามนี้ได้ประมาณ 2 ปีแล้ว พอได้โอกาสที่ทางผู้บริหารสนามคือโปรวัลลภ ขนาดนิด ชักชวนให้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนทำธุรกิจสนามไดร์ฟกอล์ฟ ทุกวันหากไม่ติดอะไร ช่วงเย็นๆ ก็จะเข้ามาที่นี่”

อยากเป็นโปรกอล์ฟ

ชื่นชอบการตีกอล์ฟมากแถมยังเอาจริงเอาจังในการฝึกซ้อมเป็นประจำ เพราะการตีกอล์ฟนอกจากจะช่วยในเรื่องของการมีสุขภาพดีและมีสมาธิแล้ว อาจารย์กอล์ฟยังบอกว่าในอนาคตก็อยากลองสอบเป็นโปรกอล์ฟดูเหมือนกัน

“เริ่มตีกอล์ฟจากคำชวนของพี่ชาย พอได้เริ่มเล่นก็รู้สึกชอบ เพราะว่าเป็นกีฬาที่แปลกมันไม่เหมือนกีฬาอื่นๆ ลูกกอล์ฟวางอยู่กับที่แต่เราต้องตีให้ลูกมันไป อย่างกีฬาอื่นลูกมันจะวิ่งไปมาเราต้องวิ่งตามลูก แล้วก็เป็นกีฬาที่ต้องแข่งขันกับตัวเอง ยอมรับว่าเป็นกีฬาที่ยากจริงๆ คนที่ไม่ซ้อมไม่มีทางเล่นได้ดีเลย ต้องซ้อมเพราะว่าโอกาสผิดพลาดมันเยอะมาก

เมื่อก่อนเคยเล่นแบดมินตันมาก่อนซึ่งเป็นกีฬาที่ต้องใช้การตี ใช้แรง ขณะที่กีฬากอล์ฟจะใช้การสวิง การหมุนตัว ก็ต้องมีปรับความคิด ปรับกล้ามเนื้อให้เปลี่ยน ตอนนี้อยากเล่นกอล์ฟให้ดีขึ้น ที่ตั้งใจลึกๆ ไว้ก็อยากลองไปสอบโปรว่าจะได้ไหม”

ผมไม่ได้เป็นอัจฉริยะ

ถึงแม้เขาจะเคยออกรายอัจฉริยะข้ามคืน และได้เข้ารอบไปจนถึงรอบสุดท้าย ทำเอาสาวๆ ทั่วประเทศชื่นชมมาแล้ว แต่อาจารย์กอล์ฟออกตัวกับเราว่าเขาไม่ได้เป็นอัจฉริยะ และก็ไม่ได้เป็นคนฉลาด

“ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะนะ ผมไม่ค่อยฉลาดหรอก ตอนที่แข่งรายการคิดว่าเป็นลักษณะการปรับตัว เป็นการประยุกต์มากกว่า ก่อนที่จะตัดสินใจไปแข่งรายการนี้เคยดูอยู่1-2 ครั้ง แต่ครั้งที่ดูเต็มๆ ก็คือมีลูกพี่ลูกน้องไปเล่น ตอนนั้นก็ยังคิดว่าถ้าเราไปเล่นแล้วจะเป็นยังไง แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะได้ไปเล่น หลังจากนั้นอีกนานเลย พี่ผมก็มาชวนไปเล่นก็เลยลองส่งชื่อกับประวัติไป เขาก็โทรมาเรียก

รายการนี้ไปแล้วรู้สึกดี สนุก ได้ฝึกตัวเองหลายอย่าง ต้องแข็งแรง ต้องควบคุมสติ และสมาธิมากๆ แล้วก็มีคนรู้จักเยอะขึ้นด้วย หลังจากออกรายการก็มีคนจำได้ มีคนมาทัก แต่ไม่เคยคิดเลยว่าตอนอยู่ในรายการเราจะเด่น ผมคิดว่าที่คนมองว่าเป็นอัจฉริยะ คงเป็นเรื่องของการใช้ไหวพริบ และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากกว่า อันนั้นคือที่เราคิดว่าเราสามารถทำได้ แต่ผมไม่ใช่คนเรียนเก่ง ผมว่าใช้ความอดทนและขยันซะมากกว่า”

เคล็ดลับความสำเร็จจากคุณพ่อ

สำหรับเคล็ดลับในการประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย อาจารย์กอล์ฟบอกว่าอาจจะเป็นเพราะคำสอนของคุณพ่อที่เขานำมาใช้ นำมาปฏิบัติจนถึงทุกวันนี้ นั่นคือคำสอนที่ว่าต้องอดทน ต้องถ่อมตัวเอง และต้องไม่ลืมตัวว่าเรากำลังทำอะไรอยู่

“มีหลายคนถามว่าทำยังไงถึงประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ผมว่าอยู่ที่ความขยันมากกว่า ผมเป็นคนที่เวลาทำอะไรก็ทำให้เสร็จไปเลย ไม่ชอบค้างไว้ แล้วเป็นคนไม่ชอบทะเลาะกับใคร เข้ากับผู้ใหญ่ได้ง่าย

ส่วนเรื่องการดูแลสุขภาพผมเป็นคนกินเยอะ น่าจะเมตาบอลิซึม (กระบวนการสังเคราะห์พลังงานจากอาหารที่เรากินเข้าไป) สูง แล้วก็เล่นกีฬาเยอะ ปัญหาสุขภาพก็เลยไม่ค่อยมี ปกติเป็นคนนอนดึกตื่นเช้าอยู่แล้ว ก็พยายามจะนอนให้มากกว่า 5 ชั่วโมง แต่ก็ยังทำไม่ค่อยได้ การเล่นกีฬาช่วยให้เราสุขภาพยังแข็งแรงอยู่ หลายๆ คนเวลาเหนื่อยมักจะอยากนอนเฉยๆ แต่สำหรับผมเวลาอยากพักผ่อนก็จะเล่นกีฬา ถือว่าเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราไม่เครียด เวลาเล่นกีฬาสมองจะผ่อนคลายไม่คิดเรื่องงาน พอเล่นกีฬาเสร็จร่างกายเราก็จะรู้สึกสดชื่น สมองเราผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง”

รายงานข่าวโดย ทีมข่าว m-lite/astv สุดสัปดาห์

ภาพโดย อดิศร ฉาบสูงเนิน

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 11 มิถุนายน 2553 23:15 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
หลายคนต่างก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ไม่เว้นแม้แต่โรงเรียนกวดวิชา Enconcept E-Academy ที่ตั้งอยู่บนถนนพญาไท ก็เป็นอีกหนึ่งแห่งที่ได้รับผลกระทบจนทำให้เปิดการสอนตามปกติไม่ได้ แต่เพื่อเด็กๆ แล้ว ครูแนน-อริสรา ธนาปกิจ รองผู้อำนวยการและหัวหน้าทีม Edutainer ของ Enconcept ไม่ย่อท้อพยายามคิดแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จึงทำให้เกิดไอเดียแปลงบ้านของตัวเองให้เป็นสตูดิโอ และทำให้เกิดโปรเจกต์ใหม่ safe@home เพื่อสอนภาษาอังกฤษให้น้องๆ ได้เรียนออนไลน์อย่างต่อเนื่อง

ชีวิตเดินทาง

ครูแนนเป็นครูสอนภาษาอังกฤษสุดฮอตที่มีตารางการทำงาน ยาวเหยียด แถมยังถูกเชิญให้ไปเป็นวิทยากรสอนทั่วประเทศ ช่วงนี้การใช้ชีวิตของครูแนนจึงอยู่บนรถกับเครื่องบินซะมากกว่า แม้จะมีความลำบากบ้าง เหนื่อยบ้าง แต่ครูแนนก็ยังมีความสุข เพราะได้ทำอะไรที่มีค่าเป็นการตอบแทนแผ่นดิน

“ตอนนี้หน้าที่หลักๆ ของแนนคือดูแลเรื่องของหลักสูตรและการบริหารงาน ส่วนวันธรรมดาก็มีรับเชิญให้เป็นวิทยากรไปสอนทั่วประเทศ อย่าง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ไป บางครั้งไปโรงเรียนต่างจังหวัดที่ไม่มีงบ เราก็ไปพักโรงแรมถูกๆ ก็ต้องฝึกตัวเองให้เป็นคนอยู่ง่ายกินง่าย คือเราเข้าใจว่าคุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่ความหรูหราหรือความสะดวกสบาย แต่อยู่ที่เราได้ทำอะไรที่มีคุณค่าต่อผืนแผ่นดินไทย

นอกจากนั้นก็เป็นคอลัมน์นิสต์อยู่ที่บางกอกโพสต์, หนังสือพิมพ์เนชั่น จูเนียร์ แล้วก็มีพ็อกเกตบุ๊ก ตอนนี้มีสองเล่ม อังกฤษพ้นกรอบ ซึ่งกำลังจะทำเล่มต่อไป เพราะการตอบรับค่อนข้างดี อีกเล่มเป็นการ์ตูนภาษาอังกฤษ”

สื่อการสอนด้วยเสียงเพลง

สิ่งที่ทำให้ครูแนนโดดเด่นและมีชื่อเสียงก็คือเทคนิคการสอนที่ใช้เสียงเพลงครูแนนบอกว่าการสอนโดยใช้เสียงเพลงไม่ได้เป็นแค่กิมมิก หรือผักชีโรยหน้าให้ดูดีเพื่อเป็นการดึงเด็ก แต่มันเป็นประโยชน์ในการเรียนจริงๆ ถึงพยายามคิดค้นเทคนิคการสอนใหม่ๆ ขึ้นมา

“แนนจะใช้วิธีการสอนที่จับต้องได้ สอนโดยการใช้ Magicores แปลว่าแก่นมหัศจรรย์ คือจะมี Memolody ที่เป็นเพลง ที่ทำให้ช่วยเข้าใจไวยากรณ์ คำศัพท์ บทสนทนา พวกรากศัพท์ต่างๆ แล้วก็จะมี Strategic Structure โครงสร้างเชิงกลยุทธ์ และ Tree Tactics เป็นแผนภาพต้นไม้ ซึ่งไม่ได้สอนในเนื้อหา แต่ว่าสอนวิธีคิด ว่าถ้าน้องไปเจอโจทย์ น้องต้องคิดยังไง เจอภาษาอังกฤษ เจอฝรั่งน้องต้องคิดยังไง เป็นเครื่องมือในการสอนของเรา”

โปรเจกต์ safe@home

ช่วงที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ ทำให้ไม่สามารถทำการสอนได้ตามปกติ ครูแนนและทีมงานจึงต้องระดมความคิด ระดมกำลังกันเพื่อจะหาทางแก้ไขปัญหา สุดท้ายก็มาลงเอยที่การใช้บ้านครูแนนเป็นสถานที่ถ่ายทอดการสอนชั่วคราว ซึ่งครูแนนตั้งชื่อโครงการนี้ว่า safe@home 

“เราไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมีสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้น มารู้ตัวว่าสถานที่สอนของเราจะถูกปิดก็ตอนที่ทหารมาบอกว่าเปิดการถ่ายทอดสดจากศูนย์ใหญ่ที่พญาไทไม่ได้แล้วเพราะเป็นบริเวณสุ่มเสี่ยง เราก็คิดว่ามีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ก็เลยประชุมกันว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร ตอนนั้นตรงแถวนี้ซอยรางน้ำก็ยิงกัน น่ากลัว มีทหาร มีลวดหนาม นึกว่าอยู่ซาราเจโว คือที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยก็เลยคิดว่าที่บ้านชานเมืองของเรานี่แหล่ะน่าจะดีที่สุด ก็ขอแรงทีมงานอาสาสมัครที่จะเข้ามาช่วยยกอุปกรณ์

การเซตบ้านเป็นสตูดิโอไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องใช้เวลาเป็นวัน เพราะว่ามีอุปกรณ์เยอะมาก ปัญหาแรกคือไฟที่บ้านไม่เหมือนไฟในสตูดิโอ เราต้องซื้อไฟแบบสปอร์ตไลต์ เพื่อการนี้โดยเฉพาะ เหมือนไฟถ่ายแบบเลย ร้อนมาก ถ่ายไปจะเป็นลมไป ไฟมันแรงมาก ใช้เวลาสอนทั้งหมดประมาณ 4 วัน วันหนึ่งก็พยายามอัดให้ได้ประมาณ 6-8 ชั่วโมง

ถึงแม้บ้านจะอยู่จังหวัดนนทบุรีก็ยังเสี่ยงอยู่ เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงเคอร์ฟิวสองทุ่ม บ้านก็เลยไม่ได้แปลงเป็นสตูดิโออย่างเดียว แปลงเป็นเซฟเฮาส์ด้วย พนักงานสิบกว่าชีวิตนอนที่บ้าน แล้วก็ดูข่าวกันว่าเผากันขนาดนี้เลยเหรอ ก็เลยตั้งชื่อโครงการนี้ว่า safe@home คือน้องๆ สามารถเรียนผ่านออนไลน์ได้ เราบันทึกเทป แล้วก็เอาไปลงทางอินเทอร์เน็ต ให้น้องใช้ Username กับ Password แล้วก็บัตรในการLog in เข้าไป เรียกได้ว่าเรียนได้ปลอดภัยแม้อยู่ที่บ้าน”

Social network กับเด็ก

ทุกวันนี้มีเด็กจำนวนมากใช้สมาร์ทโฟน และสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ง่าย ได้ทุกที่ จึงทำให้ Social network เข้าถึงเด็กๆ ได้ง่าย ซึ่งครูแนนก็จะมีทั้ง twitter และ facebook เพื่อเป็นอีกช่องทางในการสื่อสารการสอนภาษาอังกฤษ

โรงเรียนกวดวิชา Enconcept และครูแนนจะมีทั้ง twitter และfacebook ซึ่งมีเด็กเป็นสมาชิกเยอะมาก แนนสังเกตว่าเด็กสมัยนี้ส่วนใหญ่ใช้สมาร์ทโฟนเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตง่ายมาก รู้สึกว่าเด็กเสียเวลาส่วนใหญ่กับ facebook ก็เลยคิดว่าทำยังไงให้มันเป็นสาระ แนนก็เลยสรุปข่าวเป็นสิบๆ ข่าว แล้วก็แปลเป็นภาษาอังกฤษ เด็กก็จะได้ทั้งความรู้รอบตัวตามสถานการณ์ และก็ได้ภาษาด้วย”

บ้านในฝันสุดหรูของครูแนน

บ้านหลังที่ครูแนนใช้แปลงเป็นสตูดิโอเป็นบ้านที่อยู่ชานเมือง จังหวัดนนทบุรี เนื้อที่เกือบ 1 ไร่ เนื้อที่ส่วนใหญ่จะปลูกต้นไม้ ส่วนตัวบ้านชั้นล่างตกแต่งเป็นสไตล์หลุยส์ เพื่อให้บ้านสวยและดูแกรนด์ แต่คอนเซ็ปต์ของบ้านคืออยากให้เป็นบ้านที่สงบ แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ และคุ้มค่าต่อการใช้ประโยชน์

“บ้านหลังนี้ซื้อมาได้ประมาณ 2-3 ปีแล้ว ตอนที่ซื้อบ้านหลังนี้ก็คิดถึงความคุ้มค่าเป็นหลัก เราคิดว่าเราทำงานหนักมาก ถ้ามีเวลาเราก็อยากมีที่ที่เป็นสัปปายะ(สถานที่ซึ่งไม่พลุกพล่าน) คือไม่ได้พักผ่อนแค่กาย แต่ว่าพักผ่อนได้ระดับจิต คือรู้สึกว่าเป็นที่สงบ สันติ และก็ต้นไม้เยอะๆ ไม่ต้องเปิดแอร์ก็อากาศดี ไม่ร้อนเกินไป ด้วยความที่คุณแม่ก็ชอบต้นไม้อยู่แล้ว อยากให้คุณแม่ได้มีความสุขในชีวิตบั้นปลาย และเราก็ได้ใช้เป็นที่พักผ่อน

เราคิดว่าตกแต่งบ้านเอาไว้เพื่อรับรองแขก บางทีก็ใช้จัดงานสัมมนาประชุมด้วย ด้านล่างก็จะดูแกรนด์นิดหนึ่ง มีหลุยส์อะไรบ้าง เป็นสไตล์คลาสสิกออกแนวฝรั่งเศส แต่ก็ไม่ได้ใช้ของที่แพงเกิน ไม่ได้ใช้ของแบรนด์เนม ใช้ของจีน ของอะไรก็ได้ แต่ให้ความรู้สึกที่ดูสวย แต่ในส่วนที่เราอยู่เองชั้นบนก็จะเป็นสไตล์โมเดิร์น เป็นแบบง่ายๆ อบอุ่น สบายๆ”

พักผ่อนระดับจิต

ไม่ว่าจะทำงานหนักขนาดไหน แต่ครูแนนก็ยังดูสดใส และมีพลังอยู่เสมอ เคล็ดลับที่สำคัญของครูแนนนั้นอยู่ที่การพักผ่อน ซึ่งไม่ได้พักแค่ร่างกาย แต่ต้องพักจิตใจด้วย เรียกว่าพักผ่อนระดับจิต

“เวลาที่มีอยู่อันน้อยนิด พอได้อยู่ที่บ้านก็จะนอน บางทีก็นั่งสมาธิ เห็นหน้าอย่างนี้ก็สนใจธรรมะนะ เพราะว่าเราทำงานหนัก เพราะฉะนั้นเวลาที่พักผ่อนก็ไม่ใช่พักแค่กาย เคยไหมคะ เวลาที่นอนหลับไปแล้ว ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่ายังไม่สดใสเลย เป็นเพราะว่าเราพักแต่กาย จิตเราไม่ได้พัก บางทีสมองเราเหมือนกับว่ามีอะไรที่คิดรกๆ อยู่เต็มไปหมด หลายคนเป็นแบบนี้

ถ้าเราสามารถทำสมาธิตลอดเวลาได้ตามลมหายใจเข้า-ออก จิตเราก็จะสงบ ทำให้มีสมาธิ ซึ่งสามารถใช้กับการทำงาน การใช้ชีวิตประจำวันได้ ทำให้เรามีสติ และรู้ตัวอยู่เสมอ สิ่งที่แนนต้องทำประจำคือ นั่งสมาธิ อย่างต่ำวันละสองรอบ นั่งไม่ต้องนานก็ได้ แล้วแต่เวลา อาจจะ 10 นาที หรือมีเวลาก็ครึ่งชั่วโมง”

ความสุข…พกไปได้ทุกที่

เมื่อความสุขที่สุดของชีวิตอยู่ที่จิตใจ ถึงแม้ว่าครูแนนจะไม่ค่อยมีโอกาสได้อยู่ที่บ้านมากนัก แต่ไม่ว่าจะอยู่ไหน หรือทำอะไร ครูแนนก็สามารถมีความสุขได้เสมอ

“แนนว่าบ้านที่สำคัญที่สุดก็คือบ้านที่จิตใจ จริงๆ แล้วความสุขไม่ได้ผูกอยู่กับตรงไหนเลย มันอยู่ที่ใจเรา บางคนมีบ้านใหญ่โตก็ไม่มีความสุข บางคนบ้านเล็กและก็ไม่สวยเลย แต่มีความสุข แปลว่าความสุขอยู่ที่ใจ

การที่เราได้มีความสุขจากการที่เราได้ทำประโยชน์ต่อสังคม ทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นครู ได้ทำงานที่เรารัก ได้สอนตลอด อันนี้คือความสุขของแนน พอถึงวันหนึ่งที่เราทำประโยชน์ไม่ได้แล้ว เราก็อาจจะได้ใช้บ้านมากขึ้น แต่ ณ วันนี้ ถ้าเรามีแรง มีกำลังอยู่ ก็อยากจะเต็มที่กับหน้าที่ก่อน ไม่ได้ยึดติดว่าต้องอยู่ที่บ้านถึงมีความสุข แม้จะอยู่บนรถ หรือบนเครื่องบินแนนก็มีความสุข รู้สึกว่าได้เจออะไรใหม่ๆ ได้เรียนรู้ตลอด มันเป็นความสุขที่มาจากใจ ที่เราเลือกที่จะทำตามความฝันของตัวเอง”

‘ทลายความกลัว’ เคล็ดลับเก่งอังกฤษ

สุดท้ายนี้ครูแนนก็มีเคล็ดลับในการฝึกภาษาอังกฤษ แบบง่ายๆ โดยให้เริ่มจากสิ่งที่ชอบ และสนุก ที่สำคัญคือ อย่ากลัว เพราะผิดเป็นครู ทำให้เราได้เรียนรู้จากความผิดนั้น

“จริงๆ เด็กไทยรู้เยอะ เรียนทั้งแกรมมา คำศัพท์ แต่ไม่กล้า กลัวผิดสำเนียง กลัวใช้คำศัพท์ผิด กลัวใช้ไวยากรณ์ผิด จริงๆ ฝรั่งก็ใช้ไวยากรณ์ผิด ใช้คำศัพท์มั่ว แนนอยากให้เด็กไทยวางแกรมมา วางคำศัพท์ ไม่ใช่ไม่สนใจนะ คือวางไว้ก่อน แล้วพยายามที่จะสื่อสารความคิด สื่อสารไอเดียออกไปโดยที่ไม่อาย กล้าๆ เลย เข้าใจว่าเป็นเรื่องของทัศนคติ คนไทยคิดว่าความผิดเป็นเรื่องน่าอาย อยากให้คิดซะว่าความผิดพลาดต้องเจอแน่นอน อย่าไปคิดว่าเป็นความล้มเหลว ให้คิดว่าเป็นหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้

อยากให้เริ่มจากสิ่งที่ชอบ ถ้าชอบอ่านหนังสือก็อ่านหนังสือภาษาอังกฤษ ถ้าชอบดูหนังก็ดูหนังภาษาอังกฤษ ไม่ใช่อ่านแต่ซับไตเติล แนนว่าเพลงช่วยได้เยอะ เพราะเพลงเป็นอะไรที่ไร้พรมแดน ใครก็ชอบฟัง เราสามารถสื่อสารภาษากับเพลงได้

ถ้าฟังดีๆ การพูดภาษาของฝรั่งเปรียบเหมือนการร้องเพลงนะ ถ้าคนไทยคิดว่าจะพัฒนาการเรียนภาษา ต้องคิดว่ากำลังร้องเพลงจะพูดได้ดีขึ้น เพราะคนไทยเป็นโมโนโทน จะพูดโทนเดียวตลอดไม่ว่าประโยคสั้นหรือประโยคยาว คือใส่โน้ตให้มัน แล้วเราจะมีความสุข นึกถึงตอนที่เราไปร้องเพลงคาราโอเกะ อยากเป็นกำลังใจให้ทุกคน ที่สำคัญที่สุดคือ อย่ากลัวผิด เพราะผิดเป็นครู”

ภาพโดย พงษ์ศักดิ์ ขวัญเนตร

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 11 มิถุนายน 2553 23:13 น.
บะหมี่ก้ามปูชามนี้ราคา 300 บาท
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
บรรยากาศหน้าร้าน”สว่าง” บะหมี่ก้ามปู
บรรยากาศหน้าร้าน”สว่าง” บะหมี่ก้ามปู
สองสาวพี่น้องผลัดกันลวกเส้นบะหมี่
บะหมี่เส้นสดเหนียวนุ่มที่ทำใหม่ทุกวัน
ก้ามปูคัดแต่ไซส์ใหญ่ๆ
“สว่าง” บะหมี่เกี๊ยวกุ้งก้ามปู เป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดมานานกว่า 50 ปี ตั้งอยู่บนถนนพระราม 4 บริเวณหัวลำโพง จุดเด่นของที่นี่คือเกี๊ยวกุ้งตัวใหญ่ และก้ามปูชิ้นโต ร้านนี้มีชื่อเสียงในเรื่องของราคาที่ค่อนข้างแพง คือบะหมี่ก้ามปูชามละ 300 บาท แต่ลูกค้าที่มากินก็มักจะมากินอีกเพราะติดใจในความอร่อย

จากรถเข็นบะหมี่ปูที่ขายชามละ 6 สลึง ตระเวนขายอยู่แถวซอยสว่าง บริเวณหัวลำโพง มานานกว่า 50 ปี ซึ่งชื่อซอยสว่างก็กลายเป็นที่มาของชื่อร้าน ร้านสว่างตั้งอยู่ในอาคารพานิชย์ 2คูหา ปัจจุบันราคาบะหมี่พุ่งขึ้นเป็นชามละ 50-300 บาทเนื่องจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น แต่ด้วยความเก่าแก่ของร้าน ไม่ว่าราคาแพงขึ้นขนาดไหนลูกค้าก็ยังแวะเวียนมาเสมอ

เมื่อไปถึงหน้าร้านจะเห็นสองสาว คือฟ้า-ดวงพร สถิรปัญญากุล และพี่สาว ซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่สอง ง่วนอยู่กับการผลัดกันลวกเส้นบะหมี่ ตั้งแต่ช่วงเย็นถึงห้าทุ่ม หน้าที่หลักของฟ้าคือเป็นคนซื้อของ และควบคุมดูแลการทำบะหมี่ทุกขั้นตอน ส่วนเคล็ดลับความอร่อยของเส้นบะหมี่นั้น ฟ้าบอกว่าอยู่ที่ความใส่ใจ โดยเฉพาะการเลือกใช้วัตถุดิบ ทั้งไข่ แป้ง และกรรมวิธีการนวด

“บะหมี่จะเป็นบะหมี่ไข่ เส้นสด นวดเอง จะใช้ไข่เป็ดและใส่ไข่เยอะ ใช้เวลานวดนานหลายชั่วโมง ทำให้เส้นเหนียวนุ่ม ร้านอื่นจะใส่แป้งเยอะกว่าไข่ เส้นก็จะกระด้างกว่า ส่วนแป้งที่ใช้ก็เป็นแป้งสาลีที่เป็นของนอก ถ้าลองกินเส้นโดยที่ยังไม่ปรุงจะรู้สึกถึงความเหนียวนุ่มและได้กลิ่นหอมของไข่ ที่ร้านจะทำขายแบบวันต่อวัน หากขายไม่หมด ก็จะเคลียร์ทิ้ง เพราะว่าเส้นมันจะเสีย เราไม่ได้ใส่สารกันบูด”

นอกจากความอร่อยของเส้นบะหมี่แล้ว ที่พิเศษอีกอย่างคือเกี๊ยวกุ้ง ที่ใช้กุ้งทะเลสดๆ มาใส่ในเกี๊ยวทำให้เกี๊ยวกุ้งชิ้นใหญ่ทั้งกรอบและอร่อย และที่ขาดไม่ได้เลยคือก้ามปูทะเลสดๆ ชิ้นโต ที่เนื้อทั้งหวาน ทั้งแน่น

“ลูกค้าที่ชอบกินก้ามปู ถ้าวันไหนไม่มีก้ามปูเขาก็จะไม่กินบะหมี่ด้วย เพราะเขาตั้งใจมากินก้ามปูเลย ที่นี่จะมีตั้งแต่ก้ามเล็กราคาตั้งแต่ 100 บาท ก้ามใหญ่สุดก็จะชามละ 300 บาท ที่เราขายราคานี้เพราะว่าเราใช้กุ้ง และปูทะเลสดๆ และจะซื้อของจากเยาวราช ซึ่งเป็นของมีคุณภาพ แต่ราคาจะสูงนิดหนึ่ง ที่สำคัญเราคัดแต่ปูไซส์ใหญ่ กิโลกรัมหนึ่ง 500 กว่าบาท ถ้าอันไหนมันใช้ไม่ได้เราก็เอาไปทำเป็นเนื้อ เพราะจานละ 300 ถ้าได้ไม่ดีคนก็จะว่าได้”

สำหรับคนที่ไม่ชอบกินปู ที่ร้านก็มีบะหมี่หมูแดง หมูกรอบ ก็เป็นสูตรเด็ดที่ไม่เหมือนที่อื่น คือหมูกรอบจะเกรียมกำลังดี รสชาติออกเค็ม หวาน มัน และกรอบ “หมูกรอบที่นี่จะไม่ใช่หมูสามชั้นที่มันๆ เป็นหมูที่เลือกพิเศษเฉพาะส่วนที่มีติดมัน แล้วมันจะเกรียม กรอบ เข้าเนื้อไปในตัวของมันเอง”

หลายคนสงสัยว่าทำไมร้านนี้ต้องปิดทุกวันพระ ฟ้าบอกว่าวันพระตามร้านเขาจะไม่ฆ่าหมู ถ้าจะเอาก็ต้องเป็นของค้าง กระดูกมันไม่สด ก็กลัวจะไม่อร่อย เลยต้องปิดร้านทุกวันพระ ส่วนถ้าใครจะสั่งห่อกลับบ้านต้องทำใจนิดหนึ่ง เพราะร้านนี้ไม่เหมือนที่อื่นตรงที่จะขายแต่แห้งเท่านั้น เพราะน้ำแกงมีจำกัด แต่ถ้าอยากได้น้ำซุปจริงๆ ที่ร้านก็จะมีถ้วยพลาสติกขายให้ใบละ 20 บาท หรือไม่ก็ต้องเอาปิ่นโตมาใส่เอง

“น้ำซุปเป็นน้ำต้มกระดูกที่เราต้องเคี่ยวตั้งแต่เช้า เนื่องจากมีเวลาจำกัด เราก็จะได้แค่สองหม้อ ถ้ามากินที่ร้านก็จะมีให้ปกติ แต่ถ้าสั่งกลับบ้านเราจะขายแต่แห้ง ถ้าจะเอาน้ำก็ต้องเอาปิ่นโตมาใส่เอง บางคนซื้อกลับบ้าน 10 ห่อ น้ำ 10 ถุง ก็คิดว่าจะเอาไปทิ้งหรือเปล่า เพราะว่าวันหนึ่ง เราใช้วัตถุดิบเยอะ แล้วก็ต้องเคี่ยวนานกว่าจะได้มาถึงตอนเย็น

บางทีก็มีลูกค้ามาต่อว่าเหมือนกัน ว่าทำไมไม่มีน้ำใส่ถุงให้ ลูกค้าก็มีโมโหเหมือนกัน ก็มีทะเลาะกับลูกค้า ถึงขั้นมีลูกค้ามาอาละวาด เอาปืนมายิงก็เคย คือเขาไม่เข้าใจ ตอนหลังพอมีปัญหาก็เลยไปซื้อกล่องที่ใส่ไมโครเวฟได้มาใส่น้ำให้ลูกค้า แต่เราคิดเงินเพิ่ม 20 บาท สามารถใส่น้ำซุปได้ 3 ชาม และสามารถเอากล่องนี้มาใส่น้ำซุปได้อีกในครั้งต่อไป”

นอกจากที่ร้านนี้แล้ว “สว่าง” บะหมี่เกี๊ยวกุ้งก้ามปูยังมีอีก3สาขา ซึ่งเป็นส่วนของน้องสาวและพี่ชายที่ไปเปิดกันเอง อยู่ในศูนย์อาหารที่สยามพารากอน, แพลตตินั่ม และดิเอ็มโพเรียม แต่ฟ้าบอกว่าเนื่องจากร้านสาขาไม่ได้ใช้วัตถุดิบจากที่เดียวกัน ทำให้รสชาติอาจจะไม่เหมือนที่ร้าน

สว่าง บะหมี่เกี๊ยวกุ้งก้ามปู ตั้งอยู่บนถนนพระราม 4 ก่อนถึงโรงแรมบางกอก ใกล้รถไฟฟ้าใต้ดินหัวลำโพง
ราคาเริ่มต้นชามละ 50-300 บาท
เปิดเวลา 17.00-23.00 น. (หยุดวันจันทร์ และทุกวันพระไทย)


ภาพโดย วรวิทย์ พานิชนันท์

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 4 มิถุนายน 2553 23:22 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
“แพคแมน” น้องหมาตัวโปรด
คุณพ่อกฤชรัตน์ และคุณแม่พัชรินทร์ เฮงสกุล
พอล-ภัทรพล พิธีกรสุดปลื้ม
อาร์ต-เอกสิทธิ์ หนุ่มคนสนิท
บรรยากาศภายในออฟฟิศ Jobseeker
ภาพแฟชั่นจากนิตยสารแพรว
วันนี้ M-lite นัดพูดคุยกับสาวสวยคนเก่ง กวาง-ฐิติรัตน์ เฮงสกุล ที่ออฟฟิศของเธอ ย่านสุขุมวิท ซึ่งเป็นออฟฟิศเล็กๆ ที่เธอเพิ่งย้ายเข้ามา เพื่อทำโปรเจกต์นิตยสาร Jobseeker ที่กำลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้ หลายคนมองเธอว่าเป็นสาวไฮโซ ที่มีไลฟสไตล์การใช้ชีวิตหรูหรา แต่เมื่อได้พูดคุยกับเธอ ทำให้รู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงสดใสน่ารัก และใส่ใจคนรอบข้าง ออกแนวสาวไฮเปอร์นิดๆ งานหลักของเธอคือการดูแลธุรกิจแมกกาซีน นอกจากนั้นยังมีธุรกิจเว็บไซต์ ร้านอาหาร และรายการทีวี เรียกได้ว่าเป็นสาว workaholic (บ้างาน) ตัวจริง

ฉายากวาง 5 เจดีย์

หลายคนรู้จักเธอจากฉายาที่สื่อตั้งให้คือ “กวาง 5 เจดีย์” ที่ได้รับฉายานี้เป็นเพราะสาวกวางเป็นทายาทของผลิตภัณฑ์ยาหอมห้าเจดีย์ ซึ่งเป็นชื่อยาหอมที่คนรู้จักเป็นอย่างดี สาวกวางบอกว่าตอนแรกก็รู้สึกว่าฉายาที่ต่อท้ายชื่อของเธอฟังดูโบราณไปนิด แต่ตอนหลังก็ชอบ เพราะทำให้คนจดจำง่าย

“คุณพ่อกวางทำธุรกิจยาหอม ห้าพระเจดีย์ โอสถจำกัด เป็นบริษัทที่มีมา 50 กว่าปีแล้ว แล้วผลิตภัณฑ์ก็เป็นที่ทุกคนรู้จัก ตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ พอมีคนทราบว่ากวางเป็นทายาท เขาก็ตั้งฉายาว่ากวาง 5 เจดีย์ แต่จริงๆ แล้ว กวางรู้สึกว่าเป็นฉายาที่ดูรุ่นพ่อแม่ไปนิดหนึ่ง แต่ตอนหลังก็โอเค คนจำง่ายก็ชอบ กวางจะมีอีกฉายาที่เพื่อนชอบเรียกคือ กวางกี้ กวางว่าน่ารักดี มาจากที่กวางเคยทำร้านเสื้อผ้าชื่อกวางกี้ด้วย”

เจ้าแม่โปรเจกต์

ด้วยความที่ทำงานมาหลายด้าน และสั่งสมประสบการณ์มาพอสมควร ณ วันนี้สาวกวางจึงได้ตัดสินใจทำธุรกิจที่เป็นของตัวเอง โดยเริ่มจากเป็นหุ้นส่วนบริษัทออแกไนซ์ ของพอล ภัทรพล และหลังจากนั้นก็ทำธุรกิจเสื้อผ้า, เว็บไซต์หางาน, ร้านอาหาร และโปรเจกต์อื่นๆ อย่างรายการทีวี นิตยสารก็ตามออกมา

“กวางคิดว่าเรามีศักยภาพ และเป็นคนที่คิดเยอะ เจ้าความคิด พอดีได้รู้จักกับพี่พอล ภัทรพล ซึ่งบอกได้เลยว่าพี่เขาเป็นไอดอลในด้านการงาน ได้คุยกัน และได้ร่วมหุ้นกันทำบริษัทออแกไนซ์ แล้วก็เปิดธุรกิจเสื้อผ้าอีก ชื่อกวางกี้ ลูกค้าไปได้สวย แต่โครงการที่ทำอยู่ไม่เวิร์ก ก็เลยปิดร้านแล้วมาขายออนไลน์อย่างเดียวชื่อเว็บไซต์ kwang-gy.com พอทำไปได้ประมาณ 1-2 ปี ก็คิดว่ามีอีกหลายโปรเจกต์ที่อยากทำ ก็เลยมาเปิดร้านอาหารญี่ปุ่น มีหุ้นส่วนรายการทีวี และก็กำลังทำนิตยสาร”

นักบริหารสาวจอมลุย

แม้ว่าธุรกิจที่บ้านจะมีชื่อเสียงและมั่นคง แต่สาวกวางก็เลือกที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจแต่ละอย่างด้วยตนเอง โดยใช้ความสามารถประกอบกับความพยายาม ซึ่งเธอบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อได้ตัดสินใจลุยแล้ว ก็ต้องทำให้สำเร็จ

“ตอนนี้กวางกำลังทำนิตยสาร ชื่อ jobseeker ได้แนวคิดมาจากการที่ทำมาหลายธุรกิจ ซึ่งแต่ละธุรกิจกวางต้องการทีมงาน ที่แข็งแกร่ง แล้วก็มีความสามารถ มีประสบการณ์ ซึ่งจากที่เราไปถามมาจากหลายๆ คน ทราบมาว่าเป็นเรื่องยากที่จะหาคนที่เหมาะสม ก็เลยคิดว่าน่าจะมีอะไรที่ซัปพอร์ตเราตรงนี้ ทำให้เกิด jobseeker ขึ้นมา จะเป็นนิตยสารหางานรูปแบบใหม่ ที่ให้คนที่มีความสามารถมาลงประกาศในนิตยสารเล่มนี้ บางคนเป็นเพชรที่อยู่ในตม ที่คนยังมองไม่เห็น อยากให้เขามาโชว์ศักยภาพตรงนี้”

เหนื่อย เครียด ท้อ

เป็นผู้หญิงที่ทำงานเยอะมาก และดูเป็นสาวที่มีความกระตือรือร้นตลอดเวลา แต่กวางบอกว่าบางทีก็มีเหนื่อย เครียด ท้อเหมือนกัน ส่วนวิธีคลายเครียดแบบสาวกวางนั้นก็มีหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญ การไปชอปปิ้ง หรือเล่นกับน้องหมา

“บางทีงานมันไม่เสร็จตามเวลา ก็มีท้อบ้าง คิดว่าทำไมอะไรๆ มันก็มีติดขัดไปหมด ซึ่งตรงนี้กวางก็ยึดถือว่าต้องไปทำบุญ บางครั้งก็มีไปนั่งวิปัสสนาด้วย ทำให้เราอยู่กับตัวเอง มีสมาธิ แล้วก็กลับมาทำงานใหม่ บางทีถ้าเราเร่งรีบเกินไป งานมันก็จะออกมาไม่ดี เละเทะไปหมด ช่วงเหนื่อยก็มี ทำงานเยอะจนไม่ค่อยมีเวลาให้ตัวเอง ก็มีน้องหมาชื่อแพคแมนนี่แหล่ะที่ช่วยคลายเครียดได้ มันติดกวางมาก เวลาหันไปทีไร มันจะมองแต่กวาง บางทีนั่งทำงานคนเดียว ตี1 ตี2 หันไปก็จะมีแพคแมนเป็นเพื่อนเล่น ไปไหนก็ไปด้วยกันตลอด หรือบางทีเวลาเหนื่อยมากๆ ก็จะอาบน้ำอุ่นๆ ที่บ้าน นวดหน้า นอนดูหนัง บางทีก็มีไปชอปปิ้งบ้าง”

สามหนุ่มสามมุมที่ปลื้ม

ในชีวิตนี้สาวกวางบอกว่ามีหนุ่มที่เธอชื่นชม เป็นแบบอย่างในหลายๆ เรื่อง และทำให้เธอมีวันนี้ได้ มีถึงสามคนด้วยกันคือ คุณพ่อ,พี่พอล และพี่อาร์ต

ตำแหน่งผู้ชายที่สาวกวางปลื้มที่สุดในชีวิต ก็คือคุณพ่อกฤชรัตน์ เฮงสกุลเพราะนอกจากท่านจะเป็นผู้ชายที่รอบคอบ และมองการณ์ไกลแล้ว ท่านยังเป็นแบบอย่างในเรื่องของการใช้ชีวิตและการทำงานอีกด้วย

“คนแรกคือคุณพ่อ ท่านเป็นคนเก่ง และบริษัทที่ท่านทำก็อยู่มานานแล้ว ใครๆ ก็รู้จัก นอกจากขายเมืองไทยแล้วยังไปขายเมืองนอกด้วย และท่านก็ช่วยเหลือคน ไม่ได้คิดเอาแต่ผลกำไร กวางดูราคา ไม่เคยขึ้นราคาเลย แม้ว่าวัตถุดิบจะราคาสูงขึ้นขนาดไหน ท่านก็ยังคงราคาไว้ เพราะท่านบอกว่า เดี๋ยวลูกค้าเราจะบ่น ลูกค้าต้องควักเงินเพิ่ม กวางก็รู้สึกว่าดีจังเลย อีกอย่างที่เป็นแบบอย่างในการทำงานเลยคือการมองกว้างไกลของท่าน และมีความรอบคอบ ซึ่งตรงนั้นกวางยังขาดอยู่ กวางไม่รอบคอบเท่าไหร่ มองอะไรก็ไม่เก่งเท่าคุณพ่อ”

ปลื้มการทำงานของพิธีกรหนุ่ม

หนุ่มที่สาวกวางชื่นชมมาก ก็คือพอล-ภัทรพล ศิลปาจารย์ ซึ่งสาวกวางบอกว่าผู้ชายคนนี้ทั้งขยัน ทั้งทำงานเก่ง แถมยังมีความรับผิดชอบมากๆ

“กวางมองว่าพี่พอลเขาทำงานเยอะมาก งานเขาก็เยอะอยู่แล้ว แต่เขายังมีโปรเจกต์ใหม่ๆ เพิ่มให้ตัวเองตลอด หาอะไรใหม่ๆ ส่งเสริมตัวเองตลอด เช่นการไปเทกคอร์สเรียนเพิ่ม ทั้งๆ ที่เวลาก็ไม่ค่อยมี แล้วยังทำบริษัทออแกไนซ์ ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อีก เคยคิดว่าเขาจะมีเวลานอนเหรอ ซึ่งเขาเคยเล่าให้ฟังว่าตื่น 6 โมงเช้า กวางชื่นชมพี่พอลตรงที่การมีความรับผิดชอบต่องาน การมีน้ำใจกับคนอื่น ดูแลคน ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น ไม่โลภ ซึ่งตรงนี้คือเราเป็นเหมือนกัน แต่ที่กวางทำไม่ได้แบบเขาคือตื่นเช้า หรือการใช้เวลาทำงานทั้งวันทั้งคืน อย่างน้อยกวางต้องมีเวลาดูหนัง ไปนวดบ้าง”

อาร์ตหนุ่มคนสนิทคอยดูแล

ส่วนผู้ชายที่สนิทที่สุดในเวลานี้ของสาวกวางก็คือ อาร์ต-เอกสิทธิ์ คุณานันทกุล เป็นหนุ่มนักธุรกิจที่มีประสบการณ์ ที่คอยช่วยเหลือ ดูแลสาวกวางทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวได้เป็นอย่างดี

“พี่อาร์ต เป็นผู้ใหญ่ที่เก่ง เป็นคนที่ฉลาดมากๆ เป็นพี่ที่มีวิสัยทัศน์แยบยลทางธุรกิจ ซึ่งกวางได้คำสอนของพี่เขาหลายๆ อย่าง ทำให้กวางเติบโตทางธุรกิจ คือความคิดเขาจะ มีไอเดียแปลกใหม่มากๆ เป็นพี่ที่กวางปรึกษาหลายอย่างเหมือนกัน พี่เขาจะช่วยเรื่องเอกสาร เรื่องทนาย เรื่องอะไรที่ต้องมีเกี่ยวกับธุรกิจ เขาก็จะเก่ง และก็จะคอยเตือน”

ยึดถือคำสอนของผู้ใหญ่

การที่เธอประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ เป็นเพราะว่าเธอทำธุรกิจแต่ละอย่างด้วยความรอบคอบ และฟังผู้ใหญ่ เธอมองว่าคำสอนของผู้ใหญ่มีค่าเสมอ และทำให้ถึงที่หมายเร็วขึ้น

“การทำงาน ที่สำคัญคือความขยัน กวางยังยึดถือประโยคที่ว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น อะไรที่เราฝันอย่างเดียวแล้วเราไม่ลงมือทำด้วยมือของเรา ถ้าเรามัวแต่หวังพึ่งพาคนอื่น ให้คนอื่นช่วย งานก็จะไม่มีทางเกิดขึ้น สิ่งที่เราฝันก็จะไม่มีทางเป็นจริง เพราะว่าทุกคนก็มีความฝันของตัวเอง เราคิดอะไรก็ควรลุกขึ้นมาทำ ด้วยมือของเรา หรือถ้าเรามีผู้ใหญ่ เราควรปรึกษาผู้ใหญ่ เพราะว่าผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด อันนี้เรื่องจริง เพราะท่านเหล่านั้นจะช่วยให้เราประสบความสำเร็จ และเดินทางลัด ที่เราไม่ต้องอ้อมหลงทาง เหมือนท่านตีตั๋วขึ้นทางด่วนไปให้เลย และถึงที่หมายเร็วขึ้น”

เฮลธีแบบสาวกวาง

กวางเป็นสาวหุ่นสวย ที่ชอบแต่งตัวเปรี้ยว อินเทรนด์ เคล็ดลับหุ่นสวยของเธอคือการเลือกกินอาหารที่มีคุณค่า และต้องออกกำลังกาย เวลาว่างก็จะมีไปสปาผ่อนคลายตัวเองบ้าง

“บุคลิกภายนอก การแต่งตัวจะชอบแนวเปรี้ยว เซ็กซี่ แต่จะมีกาลเทศะ ถ้าไปเจอผู้ใหญ่ก็จะเรียบร้อย จะชอบแต่งตัวอินเทรนด์ ทันสมัยออกแนวเปรี้ยว ไม่ชอบแนวหวานๆ เรียบร้อยมาก ส่วนเวลาว่างกวางจะชอบหาอาหารอร่อยๆ ชอบกินอาหารจีน เป็ดปักกิ่ง เคยมีช่วงหนึ่งเห่อมาก กินอาหารสุขภาพ กินผัก ปลาแซลมอน ทำดีท๊อกซ์ คือทำแล้วหน้าใส สุขภาพดี แต่ไม่มีแรงค่ะ ปกติเราแรงเยอะถือของเองได้ เวลาไปชอปปิ้ง เป็นคนลุย แต่พอควบคุมเรื่องการกินอาหาร อยู่ๆ เหมือนนิ้วไม่มีแรง ถุงตกไปต่อหน้าต่อตา ตอนนี้ก็เลยกินอะไรให้ร่างกายมีพลังอยู่ตลอด ให้สารอาหาร พยายามกินผักเยอะๆ ที่สำคัญต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย กวางจะชอบเล่นเจ็ตสกี ถ้ามีเวลาก็จะไปเล่นเรือใบ”

ภาพโดย วรวิทย์ พานิชนันท์


  • ไม่มี
  • Mr WordPress: Hi, this is a comment.To delete a comment, just log in, and view the posts' comments, there you will have the option to edit or delete them.

หมวดหมู่